WFX ไม่น้อยหน้าหุ้น IPO ตัวอื่นๆ ปิดเหนือจอง 17% แม้จะเจอแรงขายหนักภาคบ่าย

370 จำนวนผู้เข้าชม  | 

WFX ไม่น้อยหน้าหุ้น IPO ตัวอื่นๆ ปิดเหนือจอง 17% แม้จะเจอแรงขายหนักภาคบ่าย

การเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ ของ บมจ. เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX) ไม่สร้างความผิดหวังให้นักลงทุนที่จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเสนอขายประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 142 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 7.20 บาท เมื่อราคาหุ้นยืนเหนือจองตลอดวัน โดยหลังจากเปิดตลาดที่ 9.35 บาท สูงกว่าราคาจอง 2.15 บาท คิดเป็นผลตอบแทนเกือบ 30% ก็มีแรงซื้อหนุนให้ราคาปรับขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่  9.70 บาท แต่หลังจากนั้น เริ่มมีแรงขายกระจายตัวออกมาเป็นระยะๆ กดราคาหุ้นให้ปรับลงมาจนแตะจุดต่ำสุด ที่ 8.80 บาท และปิดภาคเช้าที่ 9 บาท หรือสูงกว่าราคาจอง 25%

อย่างไรก็ตาม ตลอดการซื้อขายภาคบ่าย กลับมีแรงขายโถมออกมาอย่างต่อเนื่อง กดให้ราคาหุ้น WFX อ่อนตัวลงเป็นลำดับ แต่ก็ไม่หลุด 8.40 บาท โดยปิดที่ 8.45 บาท สูงกว่าราคาจอง 1.25 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 17.36%

ซึ่งทางผู้บริหาร WFX ที่ปรึกษาทางการเงิน และแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นจากเคทีบี ประเทศไทย (KTBST) รู้สึกพึงพอใจกับกระแสตอบรับในการซื้อขายครึ่งวันแรก ด้วยเหตุผลคล้ายๆ กันว่า นักลงทุนมีความเข้าใจ และเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ รวมถึงโอกาสและศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจเส้นด้ายยางยืดในเวทีโลก

โดยนายชวลิต ติยาเดชาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WFX ให้ข้อมูลว่า แนวโน้มผลดำเนินงานช่วง 1-3 ปีข้างหน้าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมสิ่งทอในตลาดโลก โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของบริษัทฯ (คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 75% ของทั้งหมด) โดยมีการคาดการณ์กันว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอ ระหว่างปี 2563-2568 จะมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.7% ยิ่งบริษัทฯ มีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า ด้วยการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อนำเงินทุนไปใช้เพิ่มกำลังการผลิตอีกปีละ 12,400 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 35% จากที่มีกำลังการผลิตปัจจุบัน 35,000 ตัน ทำให้เป้าหมายในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดเส้นด้ายยางยืดของโลกอยู่ไม่ไกล และมีโอกาสเติบโตก้าวกระโดดในอนาคต  

ด้านนายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ฝ่ายวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน  KTBST ซึ่งเป็นทั้งที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO บอกว่า WFX จะเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนในอนาคต เนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตสูง มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Growth Stock และ Dividend Stock จากความสามารถทำกำไรในระดับสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด เห็นได้จากผลดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกปี 2564 มีการเติบโตที่โดดเด่นมาก โดยมีรายได้รวม 2,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 874 ล้านบาท หรือ 51% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 1,715 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129 ล้านบาท หรือ 218% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 59 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 15.96% และกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 7.27%

สำหรับมุมมองนักวิเคราะห์ ประเมินราคาเป้าหมายปีหน้า ในกรอบระหว่าง 9.40 -11.40 บาท

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้