2 Private Wealth Management Bank เชื่อปีเสือยังเป็นปีทองของหุ้น แต่ควรกระจายพอร์ตให้หลากหลาย

313 จำนวนผู้เข้าชม  | 

2 Private Wealth Management Bank เชื่อปีเสือยังเป็นปีทองของหุ้น แต่ควรกระจายพอร์ตให้หลากหลาย

เมื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนปีเสือ ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดยังไม่หายไป แต่นโยบายการเงินการคลังเริ่มตึงตัวมากขึ้น เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วมีแนวโน้มการเติบโตชะลอลง ส่วนประเทศกำลังพัฒนาเศรษฐกิจจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว ทำให้ 2 Wealth Management จากธนาคารแบรนด์สีม่วง อย่าง SCB CIO และแบรนด์สีเขียว คือ K Private Banking แนะนำให้การจัดพอร์ตลงทุนต้องหันมาเน้นอุตสาหกรรม หรือธุรกิจเฉพาะทางมากขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่สามารถเกาะกระแสการเติบโตของเมกะเทรนด์ในอนาคตได้ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 Theme หลัก คือ Super Investment Theme กับ Futuristic Investment Theme ซึ่งจับกระแสการลงทุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีศักยภาพการเติบโตสูง

โดย Super Investment Theme จะเป็น Theme การลงทุนอุตสาหกรรมที่เติบโตต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งจะมี 3 Theme ย่อย ประกอบด้วย กลุ่ม Renewable Energy & Decarbonization เช่น ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน รถยนต์ไฟฟ้า และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดการพลังงานและการลดการปล่อยคาร์บอน กลุ่ม Healthcare & Healthtech โดยเฉพาะกลุ่ม Medical Technology เช่น อุปกรณ์เครื่องมือการแพทย์ จากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั่วโลก และ กลุ่ม Fintech เทคโนโลยีทางการเงินที่เกาะกระแสการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่เปิดโอกาสการลงทุนในบริษัทที่มีความหลากหลายในการให้บริการทางการเงิน 

ส่วน Futuristic Investment Theme จะให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อย่าง Metaverse การลงทุนในวิวัฒนาการขั้นต่อไปของอินเทอร์เน็ตบนเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง ซึ่งสามารถสร้างโอกาสการเติบโตที่หลากหลาย ไม่จำกัดเฉพาะธุรกิจโซเชียล มีเดีย แต่รวมถึงโอกาสในธุรกิจที่เกี่ยวกับวิดีโอเกมและสันทนาการ e-commerce ไปจนถึงอุตสาหกรรมการผลิต กับ Aerospace & Space Exploration จากแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจด้านอวกาศและการบิน การท่องเที่ยวอวกาศ รวมถึงเทคโนโลยีจรวด โดรน ดาวเทียม การวัดและพยากรณ์สภาพภูมิอากาศ และระบบโทรคมนาคมขั้นสูง 

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ ไพรเวท แบงกิ้ง กรุ๊ป เฮด (Private Banking Group Head) บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) บอกว่า ยังคงเชื่อมั่นในกลยุทธ์การลงทุนด้วยหลักการกระจายความเสี่ยงทั้งใน Core และ Satellite Port ที่เรียกว่า K-ALPHA ซึ่ง ธนาคารเลือกลงทุน 18 จาก 25 กองทุนแนะนำ สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น ขณะที่การแบ่งเงินลงทุนไปในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น กองทุนหุ้นนอกตลาด (Private Equity) กับการลงทุนในตราสารหนี้ควบอนุพันธ์ (KIKO) ที่อ้างอิงกับตะกร้าหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ ทำให้ได้ผลตอบแทนขั้นต่ำเฉลี่ยระดับ 8-12% 

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการลงทุนใน Private Equity ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 17.5% ต่อปี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในช่วงกลางปี 2563 ขณะที่การลงทุนใน KIKO ให้ผลตอบแทนสูงถึง 12-23% ต่อปี ในกรณีที่หุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ 

สำหรับการลงทุนปีเสือ เขาแนะนำ 8 กลยุทธ์หลัก ดังนี้  

1. เพิ่มเงินสดในมือเพื่อรับมือความผันผวนของตลาดที่สูงขึ้น จากความไม่แน่นอน โดยเฉพาะทิศทางการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ท่ามกลางราคาของหลายๆ สินทรัพย์ที่เริ่มตึงตัว หากตลาดมีการปรับฐานก็สามารถใช้โอกาสการเข้าซื้อในราคาที่ต่ำลง

2. ลดสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง เนื่องจากให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ ไม่สามารถชดเชยราคาที่จะถูกกดันจากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร (Bond Yield) ขาขึ้นได้

3. ตลาดหุ้นยังน่าสนใจลงทุน หนุนโดยกำไรสุทธิที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แนะนำลงทุนในหุ้นที่มีราคาถูกกว่าปัจจัยพื้นฐาน หรือหุ้น Value หรือหุ้นที่เคลื่อนไหวตามวัฏจักร (Cyclical) เช่น กลุ่มการเงิน ที่ราคาพื้นฐานยังคงน่าสนใจ 

4. ลงทุนในหุ้นกู้ตลาดเกิดใหม่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะในเอเชีย ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ในประเทศพัฒนาแล้ว

5. ประเมินค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะแข็งค่าขึ้น สวนทางกับค่าเงินยูโร 

6. ลดสัดส่วนการลงทุนในทองคำ เพราะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่สูงขึ้นจะกดดันราคาทองคำ

7. เน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบเชิงรุก (Active) มากกว่าลงทุนตามดัชนี (Passive) โดยปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างสม่ำเสมอตามสภาวะตลาด เพราะความผันผวนถือเป็นโอกาสในการลงทุน

8. การลงทุนแบบยั่งยืน (Sustainability) เป็นกุญแจสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นให้กับพอร์ตการลงทุน

ที่สำคัญ การลงทุนระยะยาวแบบกระจายในหลายสินทรัพย์ จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนระยะสั้น และการปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดรับกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง จะช่วยรักษาผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนให้ยั่งยืน

ส่วนนายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office - SCB CIO บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) หยิบเอาความสำเร็จจากการจัดพอร์ตลงทุนแบบ Moderate Asset Allocation ในปี 2564 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป มาใช้เป็นกลยุทธ์ในการลงทุน เพราะพอร์ตลงทุนลักษณะนี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 14.7% โดยมีผลตอบแทนเป็นบวกทุกเดือน เมื่อปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะกับภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา  

สำหรับกรอบการลงทุนปีเสือ SCB CIO ยังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นมากกว่าพันธบัตร เน้นไปที่หุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market - DM) ที่ธุรกิจที่มีภูมิคุ้มกันสูง และเศรษฐกิจยังเติบโตได้ดี อย่างหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป โดยพุ่งเป้าการลงทุนไปที่หุ้นกลุ่ม Quality Growth

ส่วนหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market – EM) ให้น้ำหนักกับตลาดหุ้นเวียดนาม ถึงแม้ราคาหุ้นจะมีการปรับขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม เพราะยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียนจะยังคงฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากภาคส่งออก สำหรับตลาดหุ้นไทย ยังให้น้ำหนักการลงทุนเป็น "Neutral" จากราคาหุ้นที่ตึงตัวกว่าตลาดหุ้นเวียดนาม อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อสูงยืดเยื้อกว่าคาด ในพอร์ตลงทุนควรมีหุ้นกลุ่มน้ำมัน กลุ่มการเงิน และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคติดเอาไว้



ขณะที่น้ำมัน ทองคำ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ปีเสือนี้คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางแถวหน้าของโลก   

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้