353 จำนวนผู้เข้าชม |
ถึงแม้หุ้นไทยปีที่แล้ว จะปิดทำจุดสูงสุดในรอบปี ที่ 1,657.62 จุด คิดเป็นผลตอบแทน 14.37% เมื่อมีเงินทุนไหลเข้าช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปี พร้อมกับให้ความหวังว่า อาจเห็นการไหลเข้าของเงินทุนอย่างต่อเนื่องในเดือนมกราคมนี้
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ (AWS) ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือนมกราคมว่า น่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1,585 – 1,665 จุด โดยมีแนวต้านที่ 1,650 จุด และ 1,665 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,600 จุด และ 1,585 จุด ตามลำดับ เพราะบรรยากาศการลงทุนโดยรวมยังมีแรงกดดันจากปัจจัยเสี่ยง 3 ตัว ประการแรก แรงขายกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ครบกำหนด 7 ปีครั้งแรก ประการที่สอง สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโอมิครอนที่เริ่มมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะต้องติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอมิครอนคลี่คลายจะเป็น Sentiment หนุนตลาดช่วงสั้นๆ ได้ และประการสุดท้าย การปรับพอร์ตรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อย่างน้อย 3 ครั้งในปีนี้ ที่คาดกันว่าจะเริ่มปรับเพิ่มครั้งแรกช่วงกลางปี (และน่าจะปรับขึ้นอีกอย่างน้อย 3 และ 2 ครั้งในปี 2566 และ 2567)
ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลในอดีต พบว่า ตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) และตลาดหุ้นไทยปรับลดลง 19% และ 13% ตามลำดับ ช่วง 6 เดือนก่อนปรับขึ้นดอกเบี้ยรอบก่อน ในปี 2558 และหลังการปรับขึ้นดอกเบี้ย 6 เดือน ถึงค่อยเห็นตลาดหุ้น Emerging Market และตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้น 2% และ 9% ตามลำดับ
ดังนั้น การเลือกหุ้นลงทุนเพื่อบริหารความเสี่ยง จึงควรเน้นหุ้นที่ผลดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายปีก่อนต่อเนื่องไตรมาสแรกปีนี้ มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง แต่ราคา Laggard โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน ค้าปลีก และนิคมอุตสาหกรรม อย่าง OSP, CPALL, LH, WHA, AMATA, PTG, OR, SPRC, BANPU, IVL, TASCO, SELIC, IHL, KBANK, KTC, TTB, KTB และ BBL (กลยุทธ์ลงทุน ซื้อขายระยะสั้น 1-3 เดือน) และหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ นำโดย BEM, BLA, BJC, CBG, CRC, HMPRO, MAKRO, OSP, ORI และ SC (กลยุทธ์ลงทุน ซื้อขายระยะสั้น 1-2 เดือน)
ซึ่งเมื่อฝ่ายวิเคราะห์ฯ ทำการคัดกรอง เลือกหุ้น Top picks ได้ 4 ตัว คือ HMPRO (ราคาเป้าหมาย 16.50 บาท) SONIC (ราคาเป้าหมาย 5.85 บาท) LH (ราคาเป้าหมาย 10.10 บาท) และ ORI (ราคาเป้าหมาย 13 บาท)