โลกในมุมมอง Value Investor

305 จำนวนผู้เข้าชม  | 

โลกในมุมมอง Value Investor

การเก็บ "ภาษี" จากการซื้อ-ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างอื่น เช่นตราสารหนี้ หุ้นกู้หรือพันธบัตร นั้น เป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างหวั่นเกรงกันมาตลอด คิดเป็นเวลาก็หลายสิบปีมาแล้ว

ครั้งหนึ่งประมาณ 15 ปีมาแล้ว ผมยังจำได้ว่ารัฐมนตรีคลังในยุคนั้นได้ประกาศเก็บ "เงินสำรอง" หรือก็คือ "ภาษี" 30% สำหรับนักลงทุนที่นำเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเหตุผลที่ทำก็เพื่อที่จะขจัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่กำลังแข็งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เหตุเพราะว่านักลงทุนเหล่านั้นนำเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวนมาก เข้ามาซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น และก็อาจจะถอนเงินกลับอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการ "เก็งกำไร" ที่จะส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจและการเงินของไทย

อย่างไรก็ตาม เงินที่เข้ามานั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะเข้ามาลงทุนอะไรบ้าง มากน้อยแค่ไหน แต่เงินจำนวนหนึ่งน่าจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างแน่นอน การ "ควบคุมเงินตรา" ทางอ้อม โดยการเก็บภาษี 30% คงจะ "ทำลายตลาดหุ้น" อย่างแน่นอน  เพราะนักลงทุนต่างประเทศที่ลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีมากถึงกว่า 30% ของตลาด ดังนั้น ทันทีที่ประกาศ ราคาหุ้นจึง "ทิ้งดิ่ง" ช่วงแรกถึงพื้นหรือฟลอร์ที่ 10% ซึ่งทำให้ต้องปิดตลาดเป็นเวลา 30 นาทีตามระบบ "เซอร์กิตเบรกเกอร์" พอตลาดเปิดใหม่อีกครั้ง หุ้นก็ตกลงไปอีกจนถึงเกือบ 20% ซึ่งจะทำให้ต้องปิดตลาดอีกครั้ง  แต่แล้วมันก็หยุดตก และปรับตัวขึ้นมาบ้าง จนปิดตลาดวันนั้นที่ 622 จุด ตกลงไป 108 จุดหรือติดลบ 14.8% ซึ่งน่าจะเป็นการตกลงมาใน 1 วัน ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในตลาดหุ้นไทย 

หลังจากตลาดหุ้นปิดวันนั้น รัฐบาลก็ประกาศ "ถอย" ตลาดหุ้นก็กลับสู่ภาวะปกติ ตั้งแต่นั้นมา เรื่องของการเก็บภาษีในการซื้อขายหุ้นที่จะทำให้คนบางส่วนถอนตัวจากการลงทุนในตลาดก็กลายเป็น "ของแสลง" ทุกครั้งที่มีการพูดถึง ราคาหุ้นก็มักจะตกลงมา ดังนั้น ความคิดที่จะเก็บภาษีเพิ่มเติมจากภาษีที่มีอยู่ เช่นภาษีเงินปันผล จึงห่างหายไปนาน

จนถึงช่วง 2-3 สัปดาห์มานี้ที่กระทรวงการคลังเริ่มคิดจะเก็บภาษีใหม่  คราวนี้ไม่ใช่เฉพาะหุ้น แต่รวมถึงเหรียญคริปโต ซึ่งกำลังร้อนแรงและโตระเบิด ที่เข้าข่ายต้องถูกเก็บภาษีด้วย

เหตุผลที่ต้องเก็บภาษีนั้น ที่จริงก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ต้องหาเงินมาใช้ในฐานะรัฐบาลที่ต้องบริหารประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย ในช่วงโควิด-19 นอกจากนั้น ที่ต้องเป็นตลาดหุ้นก็เพื่อที่จะให้เกิด "ความเป็นธรรม" กับภาคเศรษฐกิจอื่นที่ต้อง "เสียภาษีกันทั้งนั้น”  อย่างไรก็ตาม ในฐานะทางเศรษฐกิจอย่างประเทศไทย  ข้อยกเว้นก็ต้องมี โดยเฉพาะในกรณีของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยต้องการส่งเสริมให้เกิดขึ้นและให้เจริญเติบโตและก้าวหน้าขึ้น ในกรณีดังกล่าว ถ้าเราจะเก็บภาษีเต็มรูปแบบ  มันก็อาจจะไม่เกิดขึ้นเลย หรือเกิดแล้วก็ไม่โต  ซึ่งก็ทำให้เศรษฐกิจไม่ก้าวหน้า นอกจากนั้น  ภาษีที่คาดว่าจะได้ก็จะไม่ได้ด้วย

ตัวอย่างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไทยต้องการส่งเสริม โดยการลดหรือยกเว้นเรื่องภาษี ก็คือ การลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ผ่าน BOI หรือคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือเขตอุตสาหกรรมพิเศษต่างๆ ในส่วนของตลาดทุนเองนั้น เราก็ส่งเสริมโดยการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และงดเว้นภาษีในการซื้อขายหุ้นและกำไรจากการลงทุนของนักลงทุน ทั้งสองสามกรณีดังกล่าวนั้น ก็มีการทำกันทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ที่ต้องการส่งเสริมให้เกิดตลาดทุนที่มีประสิทธิภาพ 

แน่นอนว่าประเทศกำลังพัฒนาบางแห่ง ไม่ได้ส่งเสริมและก็เก็บภาษีตามปกติ เช่นเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ก็ยังส่งเสริมโดยไม่เก็บภาษีซื้อขายหุ้น อย่างสิงคโปร์ เพราะเขาอาจจะคิดว่าเก็บไปก็ไม่คุ้ม เพราะคนอาจจะหนีไปเทรดที่อื่นได้ แล้วเขาก็จะไม่ได้อะไรเลย แต่กลับเสียโอกาสที่จะมีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ ที่จะช่วยให้บริษัทต่างๆ  สามารถระดมทุนเพื่อพัฒนากิจการและพัฒนาประเทศดีกว่า

หน้าที่ของรัฐบาล หรือคนที่กำหนดนโยบายเกี่ยวกับเรื่องภาษีนั้น จึงอยู่ที่การประเมินว่า "เราจะได้อะไรและเสียอะไร" ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการเก็บภาษี สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่งจะปรากฏขึ้นไม่นานมานี้ ก็คือเรื่องของ “Globalizations” โดยเฉพาะในด้านของตลาดทุนและตลาดเงินที่ทำให้การลงทุนข้ามพรมแดน หรือไร้พรมแดน ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเป็นไปได้อย่างสะดวก ทำให้กิจกรรมการซื้อขายนั้น ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาด้วย เพราะนี่อาจจะทำให้การบังคับใช้ในเรื่องของการเก็บภาษีไร้ผล หรือมีผลน้อยลงไปมาก พูดง่ายๆ คุณจะเก็บเท่าไรก็ได้ แต่นักลงทุนก็มีทางเลือกที่จะไปหาที่ที่มีต้นทุนต่ำกว่า และมีคุณภาพที่สูงกว่าได้  นั่นหมายความว่าผู้กำหนดนโยบายจะต้องคำนึงถึง  "การแข่งขัน" ที่มาจากตลาดอื่นหรือประเทศอื่นด้วย พูดง่ายๆ การกำหนดนโยบายจะต้องดูที่อื่นด้วย ไม่สามารถที่จะคิดแค่ในประเทศอย่างสมัยก่อนที่คนใช้บริการ "ไม่มีทางเลือก"

ในมุมของนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือเหรียญคริปโตนั้น แน่นอนว่า แทบทุกคนไม่น่าจะเห็นด้วยกับการเก็บภาษีใหม่ เพราะจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น โดยที่ประโยชน์ที่จะได้รับเพิ่มแทบจะไม่มี  เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ นักลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นเองนั้น คิดว่ากระบวนการลงทุนของตนเองได้ก่อให้เกิดบริษัทและกิจการต่างๆ ที่เติบโตก้าวหน้าขึ้นมาก และได้ "จ่ายภาษี" มาไม่รู้กี่รอบ พูดก็พูด บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้นจ่ายภาษีมาก และเลี่ยงภาษีน้อยกว่าบริษัทนอกตลาดมากแค่ไหนทุกคนก็รู้กันดีอยู่ ภาษีที่เสียไปนั้นน่าจะมากกว่าภาคธุรกิจอื่นด้วยซ้ำ ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีนิติบุคคลที่บริษัทได้จ่ายไปแล้ว และภาษีอื่นๆ รวมถึงภาษีจากปันผลก็ต้องจ่ายเต็ม การที่จะเก็บเพิ่ม เช่นภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ หรือภาษีจากการซื้อ-ขายหลักทรัพย์นั้น ก็อาจจะเป็น "ภาษีซ้ำซ้อน" 

มาถึงจุดนี้ ดูเหมือนว่าเรื่องภาษีบางอย่างที่กำลังเสนอนั้น คงต้องออกมา ไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้น มาดูกันว่าผลกระทบต่อภาพใหญ่ของประเทศและนักลงทุนจะเป็นอย่างไร  เริ่มจากภาษีการซื้อ-ขายหุ้นที่จะคิดเพียง 0.1% ของปริมาณการซื้อขายนั้น สำหรับนักลงทุนระยะยาว หรือแม้แต่นักลงทุนระยะสั้นที่ไม่ได้เล่น Day Trade หรือวันต่อวัน จริง ๆ แล้วก็อาจจะไม่ได้เป็นปัญหามากนัก เพราะเมื่อคิดรวมกับค่าคอมมิชชั่นที่ค่อนข้างต่ำมากสำหรับตลาดหุ้นไทยก็แค่ประมาณ 0.2-0.3% เทียบกับอีกหลายประเทศแล้วก็ไม่ถือว่าสูง แต่กับพวก High Frequency Trade หรือพวกที่เทรดเร็วมาก และบางทีก็ใช้หุ่นยนต์เทรด จะมีปัญหามาก และอาจจะต้องหยุดไปเลย ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยลดลงไปมาก และก็อาจส่งผลให้ดัชนีหุ้นหงอยลง ความนิยมในการซื้อขายหุ้นในตลาดลดลง ส่งผลให้ค่า P/E ของหุ้นและตลาดต่ำลง  ต้นทุนการเงินของบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วผลกระทบก็อาจจะไม่มากอย่างที่คิด โดยเฉพาะในยามที่คนไทยยังค่อนข้างสนใจลงทุนในตลาดหุ้นเช่นในปัจจุบัน

ภาษีกำไรจากการขายหุ้นซึ่งยังไม่ได้มีการเสนอให้นำมาใช้นั้น ถ้าเกิดขึ้นก็น่าจะมีผลกระทบที่รุนแรงกับตลาดหุ้นไทยมากกว่ามาก เหตุผลก็เพราะว่านักลงทุน  โดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุนระยะยาวที่ทุ่มเทกับการลงทุนและหลายคนนั้น  "ลงทุนเพื่อชีวิต" คือ ลงทุนเพื่อให้หุ้นเติบโตขึ้น และหวังว่าจะเก็บไว้ใช้ยามเกษียณนั้นจะถูกภาษีกินไปมาก จนยากที่จะสร้างพอร์ตให้โตเร็วอย่างที่คิด เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เวลาหุ้นตัวไหนทำกำไรมากก็จะถูกหักภาษีมาก ในขณะที่หุ้นที่ขาดทุนก็ไม่สามารถจะนำมาลดภาษีลงได้ ผลก็คือ อัตราภาษีจริงๆ ของการลงทุนทั้งพอร์ตน่าจะสูงมาก ซึ่งทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทย "ไม่ค่อยคุ้ม" ทางแก้ก็คือ "เลิกลงทุน" หรือไม่ก็ไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งจะไม่มีภาระภาษีตัวนี้ 

นอกจากนั้น เจ้าของธุรกิจที่คิดจะเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาด ก็คงจะอยากเข้าน้อยลง เหตุผลก็เพราะว่า ถ้าอยากจะขายหุ้นก็จะถูกภาษีกำไรจากการขายหุ้นสูงมากเพราะหุ้นเดิมมักจะมีราคาต้นทุนต่ำมาก คือต้นทุนอาจจะเท่ากับราคาพาร์ ในขณะที่ราคาตลาดมักจะสูงกว่ามาก บางทีเป็น 10 เท่า หรือ 100 เท่า ดังนั้น ตลาดหุ้นก็น่าจะโตยากเช่นเดียวกับการระดมเงินเพื่อการลงทุนในธุรกิจก็คงจะด้อยประสิทธิภาพลงมาก

ในกรณีของเหรียญคริปโตที่จะต้องเสียภาษีกำไรจากการขายเหรียญนั้น ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เหตุเพราะว่าราคาคริปโตขึ้นลงแกว่งตัวสูงมาก คนเล่นมักจะต้องขายถ้าราคาขึ้นไปแรง การขายทุกครั้งจะต้องเสียภาษี แต่เวลาขาดทุนไม่ได้คืน ผลก็คือ โดยเฉลี่ยอัตราภาษีจริงนั้นจะสูงลิ่วจนไม่คุ้มที่จะเล่น ดังนั้น ในความรู้สึกของผมก็คือ ถ้าทำจริงๆ ก็มีโอกาสเกิด "หายนะ" ของตลาดซื้อขายคริปโตในเมืองไทย คนที่อยากจะเล่นก็ต้องหันไปใช้แพลทฟอร์มของต่างประเทศ เงินภาษีรัฐก็คงไม่ได้อยู่ดีครับ

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้