วันแรกของ CIVIL เจอผลกระทบจากตลาด กดราคาหุ้นแกว่งใกล้ราคาจอง

การเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ บมจ. ซีวิล เอนจีเนียริง (CIVIL) ได้รับผลกระทบจากความกังวลเรื่องการปรีับนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และความผันผวนของดอกเบี่ยพันธบัตรสหรัฐฯ กดดันให้นักลงทุนที่จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเสนอขายประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 200 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 4.60 บาท ยิ้มไม่ค่อยออก เมื่อได้ผลตอบแทนน้อยมาก

โดยหลังจากเปิดตลาดที่จุดสูงสุด บริเวณ 5.25 บาท สูงกว่าราคาจอง 65 สตางค์ หรือ 14.13% ก็เจอแรงขายทำกำไรกดราคาหุ้นให้อ่อนตัวลงเป็นลำดับ แต่ไม่หลุด 4.74 บาท เพราะเมื่อราคาแตะระดับนั้น เริ่มมีแรงซื้อหนุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดันราคาหุ้นให้ปรับขึ้นมากระทั่งปิดภาคเช้าที่ 4.90 บาท สูงกว่าราคาจอง 30 สตางค์

แต่หลังจากเปิดตลาดภาคบ่าย ซึ่งมีแรงขายกระจายตัวออกมาในหุ้นทั้งตลาด ก็ทำให้หุ้นน้องใหม่รายนี้เจอแรงขายมากขึ้น กดราคาลงมาปิดที่จุดต่ำสุดประจำวัน ที่ 4.50 บาท ต่ำกว่าราคาจอง 10 สตางค์ และยืนแกว่งตัวในระดับนี้ตลอดสัปดาห์

ถึงแม้ราคาหุ้นน้องใหม่ตัวที่ 2 ของปีจะไม่สดใส แต่นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  CIVIL ยังมั่นใจปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ โดยย้ำว่า ยังคงตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% เพราะคาดว่าจะได้งานใหม่เข้ามาเพิ่มอีก 5,000-6,000 ล้านบาท จากโครงการลงทุนภาครัฐที่พร้อมทยอยเปิดประมูลงานมูลค่ารวมประมาณ 3 แสนล้านบาท ขณะที่มูลค่างานในมือ (Backlog) ล่าสุดมีสูงถึง 16,800 ล้านบาท สามารถรับรู้รายได้ต่อเนื่องไปอีก 3 ปี ที่สำคัญ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ มี Big Name อย่าง บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) กับ Gulf International Investment (Hong Kong) ถือหุ้นเท่ากันรายละ 2.86% สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อธูรกิจโดยรวมของ CIVIL 

สำหรับความเห็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ฯ เบื้องต้น ค่ายทิสโก้ (TSC) ให้ราคาเป้าหมายไว้สูงที่สุด ถึง 6.40 บาท เมื่อประเมินอิงบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกันย้อนหลัง 3 ปี ที่ P/E 19 เท่า ส่วนบัวหลวง (BLS) และกรุงไทย ซีมิโก้ (KTZ) ตีมูลค่าหุ้นใกล้เคียงกัน ที่ 5.40 บาท และ 5.50 บาท ตามลำดับ โดย BLS ใช้ค่าเฉลี่ย PER ในอดีต (Historical PER) ย้อนหลัง 7 ปี (ปี 2558-2564) ที่ 16.4 เท่า ของกลุ่มบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขนาดใหญ่ถึงเล็ก รวม 6 บริษัทในการประเมินมูลค่า ขณะที่ KTZ ประเมินมูลค่าหุ้น อิง PER 14 เท่า คิดเป็น PEG ประมาณ 0.4 เท่า ของอัตราเติบโตของกำไรต่อหุ้นช่วง 3 ปีข้างหน้าเฉลี่ยปีละ 34%