โลกในมุมมอง Value Investor

419 จำนวนผู้เข้าชม  | 

โลกในมุมมอง Value Investor

สองปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เกิดโรคระบาดโควิด-19  การ "เก็งกำไร" ในตลาดสินทรัพย์ที่ซื้อขายเปลี่ยนมือคล่องเช่น เหรียญคริปโต และหุ้น ดูเหมือนว่าจะรุนแรงอย่างที่โลกไม่เคยพบเจอมาก่อน สาเหตุนั้นน่าจะเป็นเพราะปัจจัยสำคัญหลายอย่างดังต่อไปนี้ ข้อแรก  มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบมหาศาลเพิ่มจากที่มีมากอยู่แล้วอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน  นั่นคือ มีการทำ QE ที่ต่อเนื่องมายาวนานตั้งแต่วิกฤติซับไพร์มในปี 2008 ที่ยังค้างอยู่และมีการ "แจกเงิน" มหาศาลให้กับประชาชนโดยรัฐบาลเ พื่อบรรเทาผลกระทบจากการปิดเมืองในช่วงโควิด

ข้อสอง เทคโนโลยีโดยเฉพาะทางด้านดิจิทัลถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาของคนที่ต้องกักตัวอยู่กับบ้านเป็นเวลานานมีการเติบโตขึ้นมหาศาล ทำให้บริษัทที่เกี่ยวข้องมีรายได้และกำไรเติบโตเร็วขึ้นมาก และมีการคาดการณ์ว่า เมื่อคนใช้แล้วก็จะใช้ต่อไปเหมือนเดิมหลังจากโรคสงบลงแล้ว

และข้อสามก็คือ  การลงทุนในหลักทรัพย์ทางการเงิน โดยเฉพาะที่เป็นดิจิทัลและหุ้นนั้น  ง่ายและมีต้นทุนต่ำลงมาก "ใกล้ศูนย์" พูดง่ายๆ คนธรรมดาที่มีเงินเพียงหมื่นหรือสองหมื่นบาท ก็สามารถลงทุนในเหรียญคริปโตและหุ้นทุกตัวได้ โดยค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายต่ำมากผ่านระบบการซื้อขายที่เป็นดิจิทัลเช่นแพลทฟอร์มต่างๆ และผ่านเครื่องมือทางการเงิน เช่นอ็อปชั่นของหุ้น เป็นต้น

นักลงทุน โดยเฉพาะที่เป็น "รายย่อยรุ่นใหม่" ที่เข้ามาลงทุนในเหรียญคริปโต และตลาดหุ้นนั้น มีจำนวนมากมายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และด้วย Demand หรือความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นมากมายอย่าง "กระทันหัน" ขณะที่ Supply ของสินทรัพย์ที่มีคุณภาพมีจำกัด ผลก็คือ ราคาของหลักทรัพย์ทั้งหลาย รวมถึงคริปโต ต่างวิ่งขึ้นกันทั่วหน้า สถานการณ์ของหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะที่ได้ประโยชน์จากโควิด หรือ "มีข่าวดี" หรือมี "Story" จำนวนมาก ถูก "กวาดซื้อ" จนเหมือนถูก  "Corner" หรือ "ต้อนเข้ามุม" ซึ่งทำให้ราคา "ทะลุโลก" ขึ้นไปเป็นสิบเท่าหรือมากกว่านั้น ในเวลาอันสั้นแค่หนึ่งหรือสองปี หรือแค่ไม่กี่เดือน สิ่งเหล่านี้ดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาเพิ่ม และทำให้หุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัลโดยทั่วไปปรับตัวขึ้นไปอีกเป็น "วงจร" ต่อเนื่องกัน จนทำให้ตลาดหุ้นและคริปโตเฟื่องฟูขึ้นจนอาจกลายเป็น  "ฟองสบู่" ทั้งๆ ที่โลกต้องประสบกับภัยโควิด-19 ที่ร้ายแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง

แต่ "งานเลี้ยงนั้นต้องมีวันเลิกรา" ตั้งแต่ต้นปี มาจนถึงสิ้นเดือนมกราคม ดูเหมือนว่าตลาดจะมีอาการและเหตุการณ์ต่างๆ  ที่อาจทำลายการ "เก็งกำไร" ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา  ดัชนีหุ้นหลักๆ ของโลก โดยเฉพาะที่เป็นตลาดที่ราคาหรือดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงมากต่างก็ลดลงอย่างรวดเร็ว  ดัชนีดาวโจนส์ในวันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2565 ปรับตัวลดลงถึง 5.1% นับจากวันสิ้นปี 2564  ดัชนี S&P500 ลดลงจากสิ้นปี 7.6% ดัชนีแนสแดคซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นไฮเทคนั้นปรับตัวลดลงถึง 13% ในเวลาแค่ 1 เดือน  ส่วนราคาของบิทคอยน์นั้นลดลงถึงประมาณ 20% ในช่วงเวลาเดียวกัน 

สำหรับหุ้นไทยนั้น การขึ้นหรือลงของหุ้นที่เป็นหุ้นเก็งกำไร ซึ่งส่วนมากจะเป็นหุ้นตัวเล็ก-กลาง อาจไม่ค่อยมีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมมากนัก เห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปรับตัวขึ้นมากนักในปีก่อนอยู่ที่เพียง 14% และเมื่อเทียบกับเมื่อ 2 ปีก่อนแล้ว ก็ปรับตัวขึ้นแค่ประมาณ 5% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโควิด-19 และการเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น ไม่ได้มีผลกับหุ้นตัวใหญ่หรือหุ้นทั้งตลาด แต่มีผลกับ "หุ้นเก็งกำไร" ตัวเล็กหรือตัวกลางเป็นส่วนใหญ่ เห็นได้จากดัชนี MAI ที่ปรับตัวขึ้นถึง 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ ในปีที่แล้ว

การตกลงแรงของราคาหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น คนอาจจะบอกว่า เป็นเรื่องปกติของการ "เก็งกำไร" ที่จะมีขึ้นมีลงรุนแรงเป็นครั้งคราว  แต่คราวนี้ ผมคิดว่า เราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะมันเกิดขึ้นเนื่องจากธนาคารกลางหรือ FED ของสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชัดเจนว่า ภายในเดือนมีนาคมจะเริ่มปรับดอกเบี้ยอ้างอิงขึ้น และอาจจะต้องขึ้นเร็วกว่าที่คาด เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่กำลังปรับตัวขึ้นแรงที่สุดในช่วงประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา ที่ประมาณ 7% นอกจากนั้น หลังจากการปรับอัตราดอกเบี้ยแล้ว FED ก็จะลดและดูดเงินออกจากระบบโดยลดการทำ QE ลง ซึ่งก็แน่นอนว่า ไม่ได้บอกว่าอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นถึงจุดไหนหรือ QE จะลดต่อเนื่องไปถึงขนาดไหน  แต่ดูเหมือนว่า ความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นหมดไปแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ และผลจากการทำแบบนั้นอาจจะทำให้  "การเก็งกำไร" ที่ดำเนินมายาวนานหมดไป

เพราะถ้ามองว่าตลาดหุ้นมีผลงานการลงทุนที่ดีต่อเนื่องมายาวนานเป็นกว่า 10 ปี และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตนั้น ส่วนสำคัญมาจากการที่อัตราดอกเบี้ยลดลงต่อเนื่องมายาวนานจนเหลือเกือบศูนย์เปอร์เซ็นต์ ความน่ากลัวก็คือ ถ้าอัตราดอกเบี้ยกำลัง "เปลี่ยนทิศ" เป็นขาขึ้นต่อเนื่องยาวนานหลายปี จนกลับไปอยู่ที่อัตราดอกเบี้ย "ปกติ" ซัก 4-5% ต่อปี อะไรจะเกิดขึ้น? ผมเองคิดว่า FED อาจจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3-4 ปี ที่จะทยอยปรับดอกเบี้ยขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งในช่วงเวลาที่ดอกเบี้ยขึ้นไปแบบนั้น ก็อาจจะเป็นการยากที่ตลาดหุ้นจะดีขึ้นไปมากๆ จริงอยู่  ถ้าเศรษฐกิจดีและกำไรของบริษัทจดทะเบียนโตขึ้นเร็ว ดัชนีหุ้นก็อาจจะไม่ถึงกับเลวร้ายหรือมีปัญหา แต่หุ้นจะไปต่อได้ก็หมายความว่าราคาของหุ้นนั้นต้อง "ไม่แพง" ซึ่งจะทำให้ราคาสามารถขึ้นไปตาม  "พื้นฐาน"  ของบริษัท 

แต่ถ้าหุ้นโดยรวมมีราคาแพงหรือแพงมากอย่างที่เป็นอยู่ ก็มีความเป็นไปได้ว่า หุ้นอาจจะไม่ไปไหน เพียงแต่ค่า PE จะลดลงและกลายเป็นหุ้นที่ "ไม่แพง" อีกต่อไปเนื่องจาก "การเก็งกำไรที่หายไป"                                 

เหรียญคริปโตที่มีราคาปรับตัวขึ้นไปสูงมากนั้นผมคิดว่าไม่ได้มาจาก "พื้นฐาน" โดยเฉพาะของบิทคอยน์ที่ว่าจะกลายเป็น "เงินของโลก" ที่คนทั้งโลกจะใช้ในการซื้อ-ขายสินค้าหรือเก็บเป็นเงินสำรอง เพราะดูไปแล้วมันมีคุณสมบัติที่ไม่ดีพอที่จะทำอย่างนั้น อย่างมากที่จะเป็นก็คือ "ทองเสมือน" ที่ไม่รู้ว่าราคาที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าไร อย่างไรก็ตาม ในยามที่มีการเก็งกำไรสูงมากในช่วงโควิด-19 มันก็กลายเป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรที่สุดยอด เหตุผลก็เพราะว่าบิทคอยน์มีจำนวนจำกัด และไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้  การเข้ามาซื้อของผู้คนจำนวนมหาศาล เพราะเชื่อสตอรี่ที่ว่ามันจะกลายเป็นเงินของโลก ทำให้เกิดสถานการณ์ที่บิทคอยน์ถูก "Corner" จนราคาขึ้นไปสูงสุดยอดอย่างรวดเร็ว

แต่ถึงวันนี้  รัฐบาลจำนวนมากและเป็นส่วนใหญ่ของโลกต่างยังไม่รับรอง หรือสนับสนุนบิทคอยน์ในการทำธุรกรรมต่างๆ หลายประเทศรวมถึงไทยเริ่ม "แบน" บิทคอยน์ ในระดับใดระดับหนึ่ง เช่น ไม่อนุญาตให้ใช้ในการซื้อ-ขายสินค้า หรือไม่ให้ลงทุนเลยก็มี นั่นส่งผลให้สตอรี่ของบิทคอยน์อ่อนลงไปเรื่อย คนที่อาจจะเคยเชื่อว่าบิทคอยน์คือ "อนาคต" ของเงินดิจิทัลเริ่มหวั่นไหวก็เริ่มขาย ราคาที่ลงก็ส่งผลให้คนที่ไม่มั่นใจมากพอเริ่มขายต่อ การตกลงมาอย่างหนักก็ชักจูงให้คนขายเพิ่มขึ้น จริงอยู่ ในอดีตบิทคอยน์ก็เคยลงมาอย่างหนักพอๆ กัน แต่มันก็ปรับตัวขึ้นมาใหม่ แต่คราวนี้อาจจะไม่แน่ เพราะ  "แรงต้าน" จากรัฐบาลทั่วโลกมากขึ้นทุกที ซึ่งรวมถึงจีนและอินเดียที่มีประชากรมหาศาล ดังนั้น อนาคตบิทคอยน์จะไปต่อได้อย่างไร? แม้แต่ประเทศที่รับรองบิทคอยน์อย่างแข็งขันเช่น เอลซานวาดอร์ ก็กำลังโดนเตือนจาก IMF ให้เลิกทำ เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น เมื่อถึงวันที่การเก็งกำไรระดับโลกในหุ้นและเหรียญดิจิทัลต่างๆ ลดลงอย่างแรง บิทคอยน์ก็อาจจะมีโอกาสตกลงไปมากจนถึงจุดก่อนเกิดโควิด-19 ที่ต่ำกว่า 10,000 เหรียญสหรัฐได้ง่ายๆ      

มุมมองของผมสำหรับนักลงทุนไทยก็คือ  ในช่วงนี้มีโอกาสที่จะใกล้ถึงวัน  "อวสานของการเก็งกำไร" ที่หลักทรัพย์ เช่นหุ้นหรือสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ ที่เป็นเครื่องมือในการเก็งกำไร หรือโดยคุณสมบัติเป็นหุ้นหรือเหรียญที่ "เก็งกำไร" กล่าวคือ มีพื้นฐานต่ำกว่าราคามาก เช่น มีค่า PE หรือ Market Cap. สูงผิดปกติมาก หรือบางตัวแทบจะไม่มีพื้นฐานเลย  อาจจะถูกขายจนราคาตกลงไปมากมายเกินครึ่งหรืออาจจะถึง 80-90% ได้ง่ายๆ ทางที่ดีก็ควรจะหลีกเลี่ยงที่จะถือหรือเข้าไปเล่น "เก็งกำไร" ในหุ้นหรือสินทรัพย์เหล่านั้น 

อย่าไปเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนโลกหรือมันจะเติบโตและทำกำไรจากเทรนด์ในอนาคต เพราะโอกาสที่จะเกิดนั้นน้อยมาก หรือถ้าตัวไหนเกิดทำได้จริงๆ บางทีราคาของมันในช่วงนี้ก็ได้ปรับขึ้นมาเหมาะสมกับความสำเร็จนั้นอยู่แล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เห็นเหตุผลที่จะลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์เก็งกำไรเหล่านั้น ถ้าอยากที่จะ  "ร่วมขบวน" ไปกับเทคโนโลยีของโลกใหม่  รอก่อนก็น่าจะได้


Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้