เปิดโพยหุ้นลงทุน รับน้ำมันพุ่งไม่หยุด

การดีดตัวของราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ราคาน้ำมันดิบแหล่ง Brent พุ่งทำจุดสูงสุดในรอบ 7 ปี ทะลุบาร์เรลละ 94 เหรียญสหรัฐฯ จากที่แกว่งตัวบาร์เรลละ 80 เหรียญสหรัฐฯ ช่วงต้นเดือนมกราคม เป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกที่ทยอยฟื้นตัว ทำให้ความต้องการน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น ขณะที่ฝั่งอุปทาน ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบต่างๆ ของประเทศผู้ผลิตน้ำมันเป็นระยะๆ รวมถึงสถานการณ์พิพาทระหว่างรัสเซียและยู เครนที่ปะทุขึ้นมาอีก ดังนั้น ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายสำนัก จึงออกบทวิเคราะห์ผลกระทบรายอุตสาหกรรม ในกรณีที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นสู่บาร์เรลละ 100 เหรียญสหรัฐฯ

ค่ายโนมูระ พัฒนสิน (CNS) ระบุว่า กลุ่มที่จะได้รับผลด้านบวกโดยตรง คือกลุ่มพลังงาน (Energy) โดยภาพรวมได้อัตรากำไรจากธุรกิจต้นน้ำ และstock gain ของโรงกลั่นหนุน และมากเพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบจาก spread ปิโตรเคมีที่ลดลงได้ หนุนประมานการกำไรเพิ่มขึ้นราว 3.2%

ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาล (Healthcare) กลุ่มสื่อสาร (ICT) กลุ่มธนาคาร (Banking) และกลุ่มโรงแรม (Hotel) จะได้รับผลกระทบจำกัด

ในทางกลับกัน กลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านลบโดยตรง จะมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มพลังงานทดแทน (Utilities) และกลุ่มสายการบิน (Aviation) ส่วนกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบทางอ้อม จากการที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น กระทบต้นทุนวัตถุดิบและสินค้า ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ( Property) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (Contractor) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (Industrial Estate) กลุ่มไฟแนนซ์ (Finance) กลุ่มยานยนต์ (Auto) กลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ (Electronics) และกลุ่มอาหารและเกษตร (Agro & Food)

ซึ่งเมื่อคัดเลือกหุ้นที่สามารถลงทุน ฝ่ากระแสน้ำมันดิบสูงได้ ค่าย CNS แนะนำ

1. กลุ่มโรงกลั่น ได้ประโยชน์จาก stock gain โดยมี BCP (ราคาเป้าหมาย 40 บาท) เป็นหุ้นเด่นสุด จากทั้ง  stock gain, ธุรกิจ E&P ได้ประโยชน์จากราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่เพิ่มขึ้น สามารถชดเชยค่าการตลาดถูกกระทบ ตามมาด้วย TOP (ราคาเป้าหมาย 75 บาท)

2. กลุ่มธนาคารและประกัน ได้แรงหนุนจากเงินเฟ้อที่สูงตามราคาน้ำมัน หนุนวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น โดยมี KBANK (ราคาเป้าหมาย 175 บาท), SCB (ราคาเป้าหมาย 150 บาท) และ BLA (ราคาเป้าหมาย 50 บาท) เป็นหุ้นเด่น 

3. กลุ่มสื่อสาร กระทบน้อย อีกทั้งภาพของกลุ่มที่ Valuation ถูก และปันผลสูง จัดเป็น Value Stock ที่จะ Outperform ตลาด แนะนำ ADVANC (ราคาเป้าหมาย 252 บาท)

4. BCPG (ราคาเป้าหมาย 19.60 บาท) ไม่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันสูง เพราะต้นทุนหลักมาจากค่าเสื่อมราคาของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ขณะที่ราคาขายไฟฟ้าก็ไม่ได้รับผลกระทบ ประกอบกับราคาหุ้นถูก โดยซื้อขายที่ PER เพียง 13 เท่า 

ส่วนเคทีบี ประเทศไทย (KTBST) บอกว่า หุ้นที่คาดว่ามีโอกาส outperform ต่อในระยะสั้น จากราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง คือ หุ้นกลุ่มพลังงาน (BANPU, PTTEP, TOP, SPRC) ซึ่งได้ประโยชน์จากราคาขายเฉลี่ยสูงขึ้น หนุนด้วยกำไรจากสต๊อกน้ำมัน รองลงมาเป็นกลุ่มปิโตรเคมี (PTTGC, IVL) ที่ได้ประโยชน์จากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่สูงขึ้น ทำให้มีกำไรจากสต๊อก ซึ่งเมื่อให้เลือกหุ้นลงทุน ค่าย KTBST จะเลือก

1. TOP (ราคาเป้าหมาย 68 บาท) จากกำไรสต๊อกน้ำมันที่สูงขึ้น และส่ วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมั น และราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่แข็งแกร่ง
2.  PTTEP (ราคาเป้าหมาย 150 บาท) จากราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่สูงขึ้น
3.  BANPU (ราคาเป้าหมาย 15 บาท) จากราคาขายถ่านหินและก๊าซฯที่สูงขึ้ น

ในทางกลับกัน กลุ่มหุ้นที่น่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบมากที่สุด คือ กลุ่ม Electronic (HANA, DELTA, KCE, HTECH) ได้รับผลกระทบจาก supply chain disruption และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับเพิ่มขึ้น กระทบเงินเฟ้อ และเร่งการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) กดดันราคาหุ้น ตามมาด้วยกลุ่ม Airline (AAV,BA) จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจ ประมาณ 20-30% จากรายได้รวม และกลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM) กระทบจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า SPP กว่า 70% มาจากก๊าซธรรมชาติซึ่งสอดคล้องกับราคาน้ำมัน โดยต้นทุนบางส่วน (ลูกค้า IU) ไม่สามารถส่งผ่านได้

ส่วนหุ้นที่มีโอกาส underperform ต่อในระยะสั้น จากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้ นทั้งทางตรง (ราคาน้ำมัน) และทางอ้อม (เช่น ราคาก๊าซฯ) ประกอบด้วย  
1.  BGRIM (ราคาเป้าหมาย 56.50 บาท) กระทบจากต้นทุนราคาก๊าซฯที่สูงขึ้น
2.  GPSC (ราคาเป้าหมาย 95 บาท)  กระทบจากต้นทุนราคาก๊าซฯที่สูงขึ้น
3.  PTG ราคาเป้าหมาย 15.20 บาท) กระทบจากแรงกดดันต่อค่าการตลาดที่สูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง