PTT ย้ำ ไม่ลืมคืนกำไรสังคมในทุกมิติ แม้ราคาน้ำมันและปิโตรเคมีในปีก่อนจะหนุนกำไรรวมพุ่ง 1.08 แสนล้านบาท

บมจ. ปตท. (PTT) เปิดเผยผลดำเนินงานไตรมาส 4 มีกำไรสุทธิ 27,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ที่มีกำไรสุทธิ 13,147 ล้านบาท หนุนโดยธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่เติบโตสูง ทั้งจากราคาขาย และยอดขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น หลังเข้าซื้อโครงการโอมาน แปลง 61 และโครงการมาเลเซียที่เริ่มผลิตก๊าซธรรมชาติจากแปลงเอช

สำหรับรายได้รวมทั้งปี บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 108,363.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 187% YoY ที่มีกำไรสุทธิ 37,765.80 ล้านบาท เนื่องจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี และโรงกลั่นมีอัตรากำไรขั้นต้นทางบัญชี (Accounting GRM) ที่พลิกฟื้นจากขาดทุนในปี 2563 เฉลี่ยบาร์เรลละ 0.4 เหรียญสหรัฐฯ มาเป็นกำไรเฉลี่ยบาร์เรลละ 5.1 เหรียญสหรัฐฯ รวมถึงส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้น ทั้งสายโอเลฟินส์ และอะโรเมติกส์ นอกจากนี้ ยังมีกำไรสต๊อกน้ำมันอีกราว 46,000 ล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น

ซึ่งนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การเติบโตของกำไรในปีที่ผ่านมา เป็นไปตามความต้องการที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก หนุนด้วยการขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแตกต่างจากในปี 2563 ที่ทุกธุรกิจได้รับผลกระทบทั้งจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และสงครามราคาน้ำมัน ระหว่างรัสเซียกับซาอุดิอาระเบีย

ทั้งนี้ สัดส่วนกำไร 31% มาจากการดำเนินธุรกิจของ PTT เอง ที่เหลือ 69% มาจากผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทในเครือ แบ่งเป็นธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ 31% ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 24% ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น 21% ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน และบริษัทย่อยอื่นๆ 16% สำหรับกลุ่มธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกมีสัดส่วนเพียง 8% ที่สำคัญ กลุ่มธุรกิจน้ำมันมีกำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขายน้ำมันเพียง 2%

โอกาสนี้ บริษัทฯ เตรียมจ่ายเงินปันผลประจำปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 2 บาท ซึ่งได้จ่ายปันผลสำหรับงวดครึ่งปีแรกไปแล้ว 1.20 บาท คงเหลือจ่ายสำหรับงวดครึ่งปีหลัง ในอัตรา 0.80 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 3 มีนาคมนี้ ก่อนจ่ายจริงในวันที่ 29 เมษายน ตามมา ส่งผลให้ กลุ่ม ปตท. นำส่งเงินเข้ารัฐรวมทั้งปีกว่า 82,500 ล้านบาท นอกเหนือจากงบประมาณที่ใช้ในกิจกรรมเพื่อสังคมตลอดปีที่ผ่านมา รวมที้งสิ้น 1,646 ล้านบาท

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT ยังย้ำด้วยว่า ปตท.ในฐานะรัฐวิสาหกิจที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ พร้อมจะขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานของชาติ และยกระดับองค์กรให้มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจรองรับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดตลอดเวลา และไม่ลืมพันธกิจในการคืนผลตอบแทนกลับสู่เศรษฐกิจและสังคมไทยต่อไป เหมือนที่ได้ดำเนินการไปในปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น “โครงการลมหายใจเดียวกัน” เพื่อสนับสนุนระบบสาธารณสุขไทยช่วงสถานการณ์โควิด ทั้งการร่วมจัดตั้งหน่วยฉีดวัคซีนเคลื่อนที่ หน่วยคัดกรองโควิด และโรงพยาบาลสนามครบวงจร หรือการคงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติ (NGV) ที่กิโลกรัมละ 15.59 บาท สำหรับผู้ประกอบอาชีพขับขี่รถแท็กซี่ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงสนับสนุนส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม (LPG) แก่ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนเงินคนละ 100 บาท ต่อเดือน ไปจนถึงเดือนมีนาคมนี้

ขณะเดียวกัน PTT พร้อมจะสานต่อโครงการ "Restart Thailand" จ้างนักศึกษาจบใหม่ และผู้ว่างงานต่อเนื่องในปีนี้อีก 23,000 อัตรา หลังจากได้ดำเนินการไปในปีที่ผ่านมา จำนวน 25,000 อัตรา รวมไปถีงการสานต่อโครงการนวัตกรรมสร้างรอยยิ้ม ยกระดับการเกษตรควบคู่กับพัฒนาสินค้าชุมชนและช่องทางผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม โครงการพัฒนาการศึกษาเยาวชน (PTT Group School Model) พัฒนาทักษะเยาวชน เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสนับสนุนงบประมาณแก่ KVIS และ VISTEC ต่อเนื่อง

เบอร์หนึ่งของ PTT ยังทิ้งท้ายด้วยว่า กลุ่ม ปตท. เตรียมแผนลงทุน 5 ปี (ปี 65-69) วงเงินรวมประมาณ 9.4 แสนล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจตามกรอบวิสัยทัศน์ใหม่ และร่วมผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ประกอบด้วย การลงทุนในพลังงานอนาคต อาทิ พลังงานหมุนเวียน ระบบการกักเก็บพลังงาน ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ศึกษาการใช้พลังงานจากไฮโดรเจน และลงทุนนอกธุรกิจพลังงาน อาทิ ธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต พร้อมต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมีสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ปรับธุรกิจน้ำมันให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ธุรกิจโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงระบบปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีดิจิทัล ตลอดจนการดำเนินการจำหน่ายการลงทุนในธุรกิจที่มีมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ธุรกิจถ่านหิน