หุ้นไทยกลุ่มไหนได้-เสีย จากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน

699 จำนวนผู้เข้าชม  | 

หุ้นไทยกลุ่มไหนได้-เสีย จากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน

เคทีบี ประเทศไทย (KTBST) ประเมินสถานการณ์สงคราม รัสเซีย-ยูเครน ไม่น่ายืดเยื้อ เพราะกำลังทหารที่แตกต่างกัน โดยคาดว่ารัสเซียจะสามารถเข้าควบคุมยูเครน รวมทั้ง DPR และ LPR ในเวลาไม่กี่วัน แต่คาดว่าการกระทำนี้จะทำให้เกิดการ sanction

ซึ่งผลกระทบจากการ sanction รัสเซีย แบ่งได้เป็น 2 กรณี กรณีแรก Sanction ระบบการเงิน หรือจำกัดการค้ากับประเทศอื่นๆ จะมีผลกระทบไปถึงตลาดเงิน และลามไปถึงความเสี่ยงของระบบการเงินของโลก ราคาสินทรัพย์ที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) จะปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะทองคำ พันธบัตรระยะสั้น เงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเงินเยน
กรณีที่สอง Sanction สินค้าส่งออกของรัสเซีย โดยเมื่อศึกษาข้อมูลการส่งออกของรัสเซียช่วง 10 เดือนปีที่แล้ว ที่มีมูลค่ารวม 3.88 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ พบว่า สินค้าส่งออกหลักๆ คือ น้ำมันและสินค้าด้านพลังงาน (54%) เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก (11%) เคมีภัณฑ์ (8%) ผลิตผลทางการเกษตร (7%) และเครื่องจักรรวมอุปกรณ์ (6%)

ทั้งนี้ KTBST คาดว่าจะไม่มีการ sanction สินค้าด้านพลังงาน เพราะหากห้ามซื้อน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย จะทำให้เกิดผลกระทบต่อประเทศในยุโรปอย่างหนัก จากการที่รัสเซียส่งออกพลังงานไปยุโรปสูงถึง 40% ที่สำคัญ การ sanction จะผลักดันให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ และนานาประเทศเจอปัญหาเงินเฟ้อกดดันเพิ่มขึ้นตามมาทันที จึงเชื่อว่า สหรัฐฯ และยุโรปไม่น่าใช้มาตรการห้ามซื้อน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย

อย่างไรก็ดี คาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะปรับสูงขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากมีความไม่แน่นอนว่าจะเกิดอะไรขึ้นในลำดับต่อไป  

ขณะเดียวกัน ปัญหาด้าน Supply Chain จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากรัสเซียและยุโรปเป็นฐานการผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบที่สำคัญๆ โดยเฉพาะเหล็ก การ sanction จะมีผลกระทบมาถึง supply chain ของอุตสาหกรรมต่างๆ ในยุโรป ทั้งในด้านปริมาณการผลิตที่ลดลง และต้นทุนการผลิตที่จะสูงขึ้นตามความเสี่ยง

สำหรับผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากความไม่แน่นอนของเหตุการณ์ดังกล่าว โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบ เรียงตามลำดับ คือ

1. กลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ (KCE, DELTA, HANA, HTECH) เพราะรัสเซียและยูเครนเป็น supplier ของ 2 วัตถุดิบหลัก ในอุตสาหกรรม semiconductor โดยรัสเซียเป็นผู้ส่งออกแร่ palladium รายใหญ่ที่สุดในโลก มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 21% ส่วนของ Neon gas รัสเซียและยูเครนรวมกันมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 50% และรัสเซียส่งออกทองแดง 10% ของ world supply ดังนั้น หากมีสงคราม จะเกิด supply chain disruption และทำให้ปัญหา chip shortage ยืดเยื้อออกไป

2. กลุ่มปิโตรเคมี (IVL, PTTGC) จะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่อาจลดลง เนื่องจากมีการ sanction อีกทั้งอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุน feedstock ที่สูงขึ้น เนื่องจากปริมาณการผลิตที่ลดลง

3. กลุ่มอาหารและเกษตร (CPF, GFPT, TU, RBF) จะได้รับผลกระเชิงลบจากราคาต้นทุน อาหารสัตว์ที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดในโลก มีสัดส่วนประมาณ 29% ของ world supply และ ยูเครน เป็นผู้ส่งออกข้าวโพดรายใหญ่ที่สุดของ จีน โดยปริมาณส่งออกข้าวโพดของยูเครน คิดเป็น 16% ของ world supply

4. กลุ่มท่องเที่ยวและสายการบิน (MINT, SHR, AOT, BA, AAV, ERW, CENTEL) จะได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวมีโอกาสฟื้นตัวช้ากว่าคาด และหากเกิดการปิดน่านฟ้า จะมีผลกระทบให้สายการบินต้องบินอ้อม กระทบค่าตั๋วเครื่องบิน ส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางตามมา นอกจากนั้น กลุ่มสายการบิน จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจ ในสัดส่วน 20-30% จากรายได้รวม

5. กลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM) เพราะราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จะผลักดันให้ราคาก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่งผลต่อต้นทุนหลักของโรงไฟฟ้า SPP เพิ่มขึ้น แต่ไม่อาจปรับราคาขายในส่วนที่ขายให้ลูกค้าได้ ฉุดให้กำไรขั้นต้น (margin) ปรับลดลง

 6. กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (CK, STEC, PYLON, SEAFCO, RT) ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น กดดันกำไรขั้นต้นให้ลดลงเช่นกัน เพราะต้นทุนเชื้อเพลิงมีสัดส่วนประมาณ 8% ของต้นทุนก่อสร้างรวม

7. กลุ่มผู้จำหน่ายอุปกรณ์ไอซีที (SIS, SYNEX) รายได้มีโอกาสปรับตัวต่ำกว่าคาด จากปัญหาขาดแคลน chip set และอาจขยายวงไปถึการขาดแคลนสินค้ายาวนานกว่าคาด

8. กลุ่มยานยนต์ (EA, SAT, AH, STANLY) อาจได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการขาดแคลนชิปรวมถึงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อาจล่าช้าออกไป เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ผลิตนิกเกิลรายใหญ่ของโลก อีกทั้งนิกเกิลเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับแบตเตอรี่รถ EV หากมีสงครามจะเกิดปัญหา supply chain

ในทางกลับกัน กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ เรียงตามลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่

1.กลุ่มพลังงาน (PTTEP, TOP, SPRC) เนื่องจากราคาน้ำมันจะไต่ระดับขึ้นไปในช่วงแรกของสงคราม อย่างไรก็ดี หากสุดท้ายแล้วสงครามนำไปสู่การ sanction รัสเซีย มีแนวโน้มว่า ราคาน้ำมันจะลดลงจากราคาปัจจุบัน จากการที่แนวโน้มการใช้น้ำมันน่าจะอ่อนตัวตามเศรษฐกิจยุโรปและโลก โดยระดับของการปรับตัวลงจะขึ้นอยู่กับขอบเขตของการ sanction ว่าจะกระทบเศรษฐกิจโดยรวมมากแค่ไหน และนานเท่าไร

2. กลุ่มขนส่งทางเรือ (PSL, TTA) ได้อานิสงค์จากค่าระวาง (BDI Index) จะปรับเพิ่มขึ้น โดยขนส่งเรือเทกองจะได้รับประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากรัสเซียขนส่งถ่านหินไปยุโรปค่อนข้างมาก การเกิดสงครามจะทำให้ยุโรปต้องนำเข้าถ่านหินจากประเทศอื่น เช่น ออสเตรเลีย ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ตามระยะทางที่ไกลขึ้น

3. กลุ่มเหล็ก และโภคภัณฑ์หนัก (GLOBAL, DOHOME, TMT) สงครามอาจหนุนให้ราคาเหล็กสูงขึ้นจาก supply shock เพราะรัสเซียส่งออกเหล็กราว 5-10% ของ world's total trade

4. กลุ่มสินค้าเกษตร (TVO) ได้อานิสงส์จากราคาสินค้าเกษตรมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้