TISCO แนะทยอยเก็บหุ้น 4 ตลาด ยุโรป ญี่ปุ่น จีนและเวียดนาม รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าแบรนด์แข็งแกร่ง

639 จำนวนผู้เข้าชม  | 

TISCO แนะทยอยเก็บหุ้น 4 ตลาด ยุโรป ญี่ปุ่น จีนและเวียดนาม รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าแบรนด์แข็งแกร่ง

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ที่ปรึกษาการลงทุน ทิสโก้เวลธ์ บมจ. ธนาคารทิสโก้ (TISCO) เปิดเผยว่า จากการประเมินข้อมูลในอดีตช่วง 80 ปีที่ผ่านมาของศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) จะพบว่า ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) ซึ่งมักชี้นำทิศทางการลงทุนของตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกจะปรับลดลงรับข่าว ในระยะสั้นเฉลี่ย 5% ในเวลาประมาณ 20 วัน    
 
ข้อมูลดังกล่าว ยังบ่งชี้ด้วยว่า ตลาดหุ้นมักฟื้นตัวขึ้นได้ ภายในกรอบเวลา 10 วัน ก่อนหรือหลังการบุกโจมตี ทำให้ธนาคารทิสโก้มองว่า ตลาดหุ้นน่าจะมีการตอบรับต่อเหตุการณ์ปัจจุบันไปมากพอสมควรแล้ว และมีแนวโน้มว่า จะเริ่มฟื้นตัวในเร็วๆ นี้

ดังนั้น ธนาคารจึงประเมินว่า หุ้นได้เข้าสู่ช่วงจุดต่ำสุดแล้ว และพร้อมกลับมาให้น้ำหนักที่ประเด็นเรื่อง "เงินเฟ้อ" จึงแนะให้ “ซื้อ” ด้วยกลยุทธ์ Buy the Dip** ในหุ้นกลุ่มที่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเงินเฟ้อที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง ทำให้สามารถปรับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ ส่งผลให้หุ้นทั้ง 2 กลุ่ม ไม่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่เร่งตัวในปัจจุบัน 

ขณะเดียวกัน เมื่อลองเปรียบเทียบอัตรากำไรสุทธิของกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ในดัชนี S&P 500 ช่วงไตรมาส 4 และไตรมาส 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นจาก 5.0% เป็น 7.0%  ก็พบว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง มีอัตรากำไรสุทธิที่ 25% และ 8% ตามลำดับ อีกทีั้งยังสามารถรักษาระดับความสามารถในการทำกำไร และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นได้บางส่วนในช่วงที่ผ่านมา ต่างจากกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ปรับตัวลดลงราว 3 - 4% ในช่วงเวลาเดียวกัน อาทิ กลุ่มการเงิน (Financial) และหุ้นสาธารณูปโภค (Utilities)   

นอกจากนี้ ธนาคารยังแนะนำให้กระจายการลงทุนไปในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศที่ยังคงเดินหน้านโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่น่าสนใจประกอบการวิเคราะห์ด้วย จะพบว่า มีตลาดที่น่าสนใจ 4 แห่ง คือ ตลาดยุโรป ญี่ปุ่น จีน หรือเวียดนาม  

โดยยุโรปและญี่ปุ่น ยังคงใช้มาตรการทางการเงินผ่อนคลาย ด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อพิจารณาคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ปีนี้ ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จะพบว่า การเติบโตของยุโรปอยู่ที่ 3.9% และญี่ปุ่นเติบโต 3.3%  
 
ส่วนจีน น่าสนใจตรงที่อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ระดับต่ำ เปิดช่องให้ธนาคารกลางจีนสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการปรับลดดอกเบี้ย (RRR) หนุนให้เศรษฐกิจจีนน่าจะขยายตัวได้ระดับ 4.8%    
 
เช่นเดียวกับเวียดนาม ที่มีการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะเติบโตได้ถึง 6.6% และเป็นอีกประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อน้อย โดยตัวเลขล่าสุด เงินเฟ้อเดือนมกราคม อยู่ที่ 1.94% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายถูกปรับลดลงจากระดับ 6% ในปี 2563 มาสู่ 4% ในปีนี้ ถือเป็นการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจถึง 3 ครั้งด้วยกัน 

ยิ่งไปกว่านั้น มูลค่าหุ้นทั้ง 4 ประเทศ ยังไม่สูง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) ที่มีอัตราปิดต่อกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า 12 เดือน (Forward 12m P/E) อยู่ในระดับ 19.2 เท่า โดยตลาดหุ้นยุโรป (STOXX600) อยู่ที่ 13.9 เท่า, ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (TOPIX) อยู่ที่ 12.4 เท่า, ตลาดหุ้นจีน (CSI300)  และตลาดหุ้นเวียดนาม (VN) อยู่ที่ 13.3 เท่า ใกล้เคียงกัน  

** กลยุทธ์ Buy the Dip คือ การเข้าลงทุนเพิ่มเมื่อตลาดมีการปรับตัวย่อลง เพื่อทำให้เราได้ต้นทุนที่ต่ำลงได้ในแต่ละช่วงเวลา **
   

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้