เปิด idea ลงทุน รับมือหุ้นโลกผันผวน จากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน แรงกดดันเงินเฟ่อ

899 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เปิด idea ลงทุน รับมือหุ้นโลกผันผวน จากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน แรงกดดันเงินเฟ่อ

สถานการณ์ความผันผวนของตลาดหุ้นโลก ที่มีความเสี่ยงจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน เงินเฟ้อ และการดำเนินนโยบายการเงิน โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รุมเร้าในช่วงนี้ ทำให้ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย (KS) ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทย ใน 4 สมมติฐาน คือ 

กรณีที่ 1 : สงครามตึงเครียด ยืดเยื้อ แต่ Fed ไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย (Escalate + Slightly Hawkish)  คาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,575-1,630 จุด 
หุ้นแนะนำลงทุน คือ BH, BCP, BANPU, TOP 

กรณีที่ 2 : สงครามผ่อนคลายไม่ยืดเยื้อ และ Fed ไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย (De-Escalate +Slightly Hawkish)  คาดหุ้นไทยมีโอกาสไปแตะ 1,730 จุด  
หุ้นแนะนำลงทุน คือ BE8, SCGP, AEONTS, CHAYO, DELTA  


กรณีที่ 3 : สงครามตึงเครียดยืดเยื้อ และ Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย (Escalate +Hawkish)  คาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับฐาน ประเมินแนวรับ 1,420 จุด แนะนำทยอยลดพอร์ตการลงทุน และหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และ กลุ่ม Growth   

กรณีที่ 4: สงครามผ่อนคลายไม่ยืดเยื้อ แต่ Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย (De-Escalate + Hawkish) คาดหุ้นไทย แกว่งตัวในกรอบ 1,630-1,660 จุด 
หุ้นแนะนำลงทุน คือ GPSC, GULF, MAKRO, DOHOME, OSP, TRUE, DTAC  

ด้านโนมูระ พัฒนสิน (CNS) บอกว่า หากผลการหารือระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ยังไม่มีบทสรุป แต่แรงกดดันเงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเงินโลกสูงขึ้น อาจทำให้ตลาดหุ้นเหวี่ยงรุนแรง มอง 2 กรอบที่อาจปรับลงตามความเสี่ยงที่เข้ามากระทบ คือ 1,620-1,600 จุด และ 1,580-1,550 จุด 

โดยการลงทุนระยะสั้น แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่ติดใน SET100 ที่ลงแรงนับจากต้นเดือนมีนาคมถึงปัจจุบัน อย่าง GUNKUL, TU, BAM รวมถึงหุ้นที่ต้นทุนอิงกับราคาน้ำมัน หรือโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ OSP, CBG, GULF, GPSC, BGRIM, EPG, TOA, TASCO นอกจากนี้ อาจกระจายพอร์ตในหุ้นกลุ่ม Laggard อาทิ HMPRO, CPALL, MAKRO, BCPG, BCP, TIDLOR, ADVANC หรือกลุ่มฐานกำไรดี เช่น JMART, JMT, AP, BE8

ส่วนการลงทุนระยะยาว ยังให้น้ำหนักหุ้น อย่าง  ADVANC, AMATA, GPSC, KBANK, KCE,  MAKRO, SCB และ TIDLOR เหมือนเดิม 

ขณะที่เอเซีย พลัส (ASPS) แนะให้ลงทุนหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีที่นักลงทุนต่างชาติซื้อต่อเนื่อง มีการจ่ายปันผล และมี Upside จากราคาหุ้นล่าสุด
 

ส่วนเคทีบี ประเทศไทย (KTBST) แนะให้หลบความผันผวน ด้วยการลงทุน 3 Theme คือ Theme - Infant : เลือกลงทุนหุ้นจากอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตสูงตาม MegaTrend แม้ผลประกอบการปีที่ผ่านมาจะยังไม่โดดเด่น อย่างหุ้นในธุรกิจ EV และ Digital Ecosystem

Theme - Teenage : หุ้นจากอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต กำไรเติบโตติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5ไตรมาส แนวโน้มกำไรปีนี้ถึงปี 2568 โตต่อเนื่อง

Theme-Reborn : หุ้นจากอุตสาหกรรมที่เคยดีในอดีต แต่ในช่วง 2-5 ปี ที่ผ่านมา กำไรลดลง หรือไม่โตจากการแข่งขัน แต่หลังจากมีการ Transformation แนวโน้มกำไรจะกลับมาดี เห็นผลตั้งแต่ปีนี้

โดยเมื่อคัดเลือกหุ้น Top picks ฝ่ายวิจัยฯ เลือกได้หุ้น 5 ตัว คือ ADVANC, EA, KBANK, JMART และ WICE

สำหรับทิสโก้ (TSC) แนะนำให้ลงทุนหุ้นปันผล เน้นไปที่หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในระยะยาว มีผลดำเนินงานมั่นคงต่อเนื่อง และจ่ายปันผลต่อเนื่องในช่วงหลายๆ ปี มากกว่าจะมองแค่การจ่ายปันผลปีเดียว เลือก Top picks ได้ 4 ตัว คือ SCCC (5.9%), BCH (5.0%), SIRI (5.0%), ICHI (5.0%) และ TASCO (4.9%)

ขณะที่หยวนตัา (ํYUANTA) ประเมินว่า หากสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย หรือมีสัญญาณบวกจากการเจรจามากขึ้น ก็น่าจะช่วยลดความร้อนแรงของราคาน้ำมัน และลดความกังวลของตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นโลกมีโอกาสฟื้นตัวหลังจากซึมซับปัจจัยลบมาแล้วเกือบ 1 เดือน
จึงแนะนำให้แบ่งเงินลงทุนใน 2 ลักษณะ คือ สะสมหุ้นปันผลเด่นก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD ประมาณ 1-2 เดือน นำโดย TISCO, SC, BCH, TEAMG, TCAP, ORI และหุ้นที่ได้รับการปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย และได้รับผลกระทบจำกัดจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น อย่าง CPALL, CRC, PSH, BA

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้