ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เชื่อ ตลาดหุ้นน่าจะพักฐานชั่วคราว ก่อนฟื้นตัวกลับมาเท่าช่วงก่อนเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน

609 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เชื่อ ตลาดหุ้นน่าจะพักฐานชั่วคราว ก่อนฟื้นตัวกลับมาเท่าช่วงก่อนเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ทุกครั้งที่เกิดสงคราม หรือ วิกฤตภูมิรัฐศาสตร์ ตลาดหุ้นทั่วโลกมักปรับลดลงอย่างรวดเร็ว จากความไม่แน่นอน ความกังวลของนักลงทุน และความเสี่ยงที่สูงขึ้น แรงขายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง ประเทศที่เกี่ยวข้อง และผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ  
 
ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นมักฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเช่นกัน หากเศรษฐกิจไม่ถูกกระทบถึงขั้นชะลอตัวรุนแรงหรือถดถอย เช่น กรณี 9/11 ที่เกือบทุกตลาดหุ้นสามารถฟื้นกลับมาที่ระดับเดิมได้ภายในไม่ถึง 1 เดือน หรือกรณีสงครามอิรักปี 2003 ที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ใช้เวลาฟื้นตัวภายในไม่กี่สัปดาห์      
 
งานวิจัยของธนาคารต่างประเทศแห่งหนึ่ง (ที่ใช้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นตัวแทนตลาดหุ้นโลก) ระบุว่า ในช่วง 83 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดสงครามและวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์ทั้งหมด 29 เหตุการณ์ และจากค่าเฉลี่ยของทุกเหตุการณ์ พบว่า ตลาดหุ้นปรับลดลงเพียง 8% นับจากวันแรกที่เกิดวิกฤตจนถึงวันที่ดัชนีแตะจุดต่ำสุด และใช้เวลาอีกไม่ถึง 3 เดือนในการฟื้นตัวกลับไปที่ระดับก่อนเกิดวิกฤต
 
เหตุการณ์ที่ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ดัชนีหุ้นปรับลงต่อเนื่องเกือบ 50% ในช่วงสามปีแรก แต่ที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นแตะจุดต่ำสุดในปี 1942 หรือก่อนสงครามจบลงถึงสามปี และฟื้นตัวต่อเนื่องไปอีกหลายปี หลังจากนั้น
 
รองลงมาคือวิกฤติน้ำมันปี 1973 ที่ตลาดหุ้นปรับลดลง 17% ในช่วงเดือนแรก และลดลงต่อเนื่องอีก 28% ในช่วง 12 เดือนต่อมา เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบหนักมากจากการขาดแคลนน้ำมัน
 
ถ้าตัดสองเหตุการณ์นี้ออก จะพบว่า สงครามและวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในอดีต ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นค่อนข้างน้อยในระยะยาว
 
สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนในครั้งนี้ ถ้าวัดจากขนาดเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศ ที่มีสัดส่วนรวมกัน 2% ของจีดีพีโลก จึงไม่น่าส่งผลกระทบอย่างมีนัย แต่การที่รัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตพลังงานมีค่อนข้างมาก
 
อย่างไรก็ตาม การที่สงครามรอบนี้เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่เงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งสูงสุดในรอบ 30-40 ปี ทำให้นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะ Stagflation (เงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจถดถอย) เหมือนที่เคยเกิดในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 1973 และ 1979
 
ในความเห็นของผม วิกฤตพลังงานรอบนี้ ถ้าเกิดขึ้น น่าจะมีผลกระทบน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ได้พึ่งพาน้ำมันสูงเหมือนเดิม ย้อนกลับไปปี 1973 โลกต้องใช้น้ำมัน 1 บาร์เรล เพื่อผลิตจีดีพี USD 1,000 (real terms) แต่ในปี 2019 เราใช้น้ำมันแค่ 0.43 บาร์เรลในการผลิตจีดีพีที่มูลค่าเท่ากัน
 
นอกจากนั้น ประเทศในกลุ่มโอเปคยังมีกำลังการผลิตน้ำมันเหลืออีกไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน และสามารถเพิ่มได้ถึง 5-6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในหนึ่งปีข้างหน้า ซึ่งน่าจะทดแทนน้ำมันที่ส่งออกโดยรัสเซียได้เกือบทั้งหมด อีกทั้งสหรัฐฯ เอง ก็มีกำลังการผลิตสำรองของน้ำมัน Shale อีกพอสมควร แปลว่า โอกาสที่น้ำมันจะขาดแคลนในระยะยาวน่าจะมีไม่มาก
 
ยุโรปมีความเสี่ยงมากที่สุด เพราะนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียถึง 40% แต่ส่วนหนึ่งน่าจะสามารถทดแทนได้ด้วยการนำเข้า LNG รวมทั้งอาจต้องกลับไปใช้พลังงานนิวเคลียร์ หรือถ่านหิน เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะสามารถหาแหล่งพลังงานใหม่ที่ทดแทนได้ 
 
ราคาพลังงานจึงมีแนวโน้มอ่อนตัวลงในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางราคาที่สะท้อนในตลาดสัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า และถ้าเป็นเช่นนี้ โอกาสที่เงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องน่าจะมีไม่มาก ในระยะยาว
 
มองไปข้างหน้า ไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่าสงครามครั้งนี้จะจบลงเมื่อไร ในสถานการณ์แบบนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มเผชิญแรงขายต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ที่ยังพออุ่นใจได้ คือรัสเซียยังไม่ได้หยุดส่งออกพลังงาน และธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ยังไม่ได้ส่งสัญญาณว่า จะดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นกว่าที่เคยวางแผนไว้ก่อนเกิดสงคราม
 
ผมเชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวแรงหลังฝุ่นหายตลบ เพราะเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบทางตรงจากวิกฤตครั้งนี้ค่อนข้างน้อย ราคาพลังงานที่พุ่งขึ้นในช่วงนี้ คือความเสี่ยงหลัก แต่รัฐบาลก็มีกลไกกองทุนน้ำมันที่น่าจะช่วยพยุงราคาพลังงานในประเทศได้อีกระยะหนึ่ง
 
แน่นอน การลงทุนในภาวะสงคราม เงินเฟ้อสูง และดอกเบี้ยขาขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีแนวโน้มผันผวนสูง แต่เราน่าจะได้อานิสงส์การจัดสรร asset allocation ใหม่ของกองทุนทั่วโลก ที่มีแนวโน้มถอนการลงทุนในรัสเซีย ลดการลงทุนในยุโรป และเพิ่มการลงทุนในเอเชีย โดยเฉพาะไทย และประเทศในกลุ่มอาเซียน

ไพบูลย์ นลินทรางกูร
15 มีนาคม 2565

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้