614 จำนวนผู้เข้าชม |
หลังจาก บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 15 มีนาคมว่า มีการซื้อหุ้น บมจ. เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK) ในสัดส่วน 5% ราคาเฉลี่ย 23.66 บาท คิดเป็นมูลค่าการลงทุนราว 523 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่า มีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างความรู้ด้านการผลิตเนื้อหาจากการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ เพื่อนำมาต่อยอดอุตสาหกรรมภาพยนตร์และบันเทิงด้านการผลิตคอนเทนท์มากขึ้น ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ในการเสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจ พร้อมกับยืนยันด้วยว่า ไม่มีแผนจะถือหุ้น WORK เกินกว่า 10% และจะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ หรือการกำหนดนโยบายการดำเนินธุรกิจใน WORK ด้วย
และเมื่อวันที่ 10 มีนาคมก่อนหน้านี้ MAJOR ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ได้เข้าไปซื้อหุ้น บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) จำนวน 5% ที่ราคาเฉลี่ย 7.82 บาท คิดเป็นมูลค่าการลงทุนเกือบ 540 ล้านบาท เพราะเชื่อว่าการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ TKN จะช่วยให้ธุรกิจขายข้าวโพดคั่วของ MAJOR แข็งแกร่งขึ้น ไล่ตั้งแต่การผลิตการขนส่ง การตลาด และช่องทางการจัดจำหน่ายนอกโรงภาพยนตร์ หลังจากไม่มีส่วนแบ่งกำไรจาก บมจ.สยาม ฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ (SF) หลังถอนการลงทุนในไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา
และเช่นเดียวกัน MAJOR ยืนยันด้วยว่า ไม่มีแผนจะถือหุ้น TKN เกินกว่า 10% และจะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ หรืองการกำหนดนโยบายการดำเนินธุรกิจเช่นเดียวกัน
ในมุมมองของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เสียงส่วนใหญ่มองมุมบวกต่อการลงทุน ทั้งใน TKN และ WORK ในระยะกลางเป็นต้นไป แต่ในระยะสั้น คงให้น้ำหนักกับธุรกิจโรงภาพยนตร์ ที่ปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวจากที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด มาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
ค่ายกสิกรไทย (KS) ระบุว่า การลงทุนของ MAJOR ทั้งใน TKN และ WORK มุ่งหวังที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซมูลค่าของธุรกิจโรงภาพยนตร์ ผ่านธุรกิจสัมปทานที่ไม่ใช่โรงภาพยนตร์ และธุรกิจด้านผลิตเนื้อหา ซึ่งทั้ง 2 ธุรกิจเหมาะสำหรับตลาดที่มีลูกค้าจำนวนมาก ถึงแม้ต้นทุนในการลงทุนจะค่อนข้างแพงก็ตาม แต่ยังมีมองมุมบวก เนื่องจากข้อแรก ธุรกรรมมีความโปร่งใส ข้อสอง ทั้ง TKN และ WORK ทำผลงานได้ดีในธุรกิจ ซึ่งจะทำให้ Learning curve ของ MAJOR สั้นลง และข้อสุดท้าย บริษัทฯ มีช่องให้ถอนทุนได้ไม่ยาก หากมีความจำเป็นจริงๆ
คงแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเหมาะสมที่ 23.89 บาท เพราะประเมินว่า ธุรกิจมีปัจจัยหนุน ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของกำไรที่แข็งแกร่งในไตรมาส 2 หรือการความคืบหน้าในการเจรจาข้อตกลงด้านเนื้อหากับแพล็ตฟอร์มสตรีมมิ่ง OT
ด้านโนมูระ พัฒนสิน (CNS) บอกว่า มีมุมมอง Slightly Positive ต่อการลงทุนเหล่านี้ เพราะคาดว่า บริษัทฯ จะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลปีละ 2-3% จึงยังคงประมาณการกำไรปีนี้ที่ 933 ล้านบาท พลิกฟื้นจากที่ขาดทุนในปีก่อน 710 ล้านบาท เมื่อไม่นับกำไรพิเศษจากการขายหุ้น SF โดยประเมินว่า ผลดำเนินงานของ MAJOR จะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นในไตรมาส 2 ตามปัจจัยฤดูกาล และสถานการณ์โควิดคลี่คลาย
นอกจากนี้ ในไตรมาส 2 ธุรกิจยังมี Catalyst บวกจากการวางขายข้าวโพดคั่วใน 7-11จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสม 24 บาท
ขณะที่ทิสโก้ สรุปประเด็นสั้นๆ ว่า การลงทุนทั้งใน WORK และ TKN เชื่อว่าเป็นการสร้าง connection เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างที่ MAJOR มุ่งหวังเอาไว้ ทำให้คงคำแนะนำ "ซื้อ" ด้วยมูลค่าที่เหมาะสม 25.50 บาท
ส่วนฟิลลิป (PLS) บอกว่า การลงทุนสามารถต่อยอดให้ MAJOR ทั้งในธุรกิจหลัก คือ โรงภาพยนตร์ และธุรกิจรอง ขนมขบเคี้ยวได้ เพราะสามารถใช้ประสบการณ์ของ TKN เข้ามาช่วยขยายธุรกิจข้าวโพดคั่วที่วเตรียมวางขายใน 7-11 รวมถึงช่องทางอื่นๆ เพิ่มเติม ขณะที่การสร้างคอนเทนท์ของ WORK สามารถต่อยอดด้วยการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ อีกทั้งการลงทุนยังจะได้เงินปันผลกลับเข้ามาด้วย จึงคงแนะนำ "ซื้อ" บนมุมมองการฟื้นตัวของธุรกิจโรงภาพยนตร์ อย่างไรก็ตาม ค่ายนี้กลับให้ราคาเหมาะสมต่ำที่สุด เพียง 22.80 บาท