KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier เปิดกลยุทธ์จัดพอร์ตลงทุนรับมือเหตุการณ์ รัสเซีย-ยูเครน

760 จำนวนผู้เข้าชม  | 

KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier เปิดกลยุทธ์จัดพอร์ตลงทุนรับมือเหตุการณ์ รัสเซีย-ยูเครน

หลังจาก ดร.แซมมี่ ชาร์ หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ Lombard Odier พันธมิตรของ K-Private Banking ตีความเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เป็น 4 ลักษณะ ดังนี้ 

1. กรณีฐาน - ความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียลากยาว การเจรจาไม่สำเร็จ (โอกาสเกิด 50%) ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงทั่วโลก จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น และห่วงโซ่อุปทานที่ชะงักไปจากมาตรการคว่ำบาตร การเติบโตเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง โดยเฉพาะในยุโรป โดย Lombard Odier ประมาณการณ์ว่า GDP ยุโรปจะปรับลด -1% ส่วนสหรัฐฯ -0.5% ในขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกเดินหน้าเข้มงวดนโยบายการเงิน

2. กรณีดี - รัสเซียและยูเครนสามารถเจรจากันได้ แต่ยังคงมีมาตรการคว่ำบาตรบางส่วน (โอกาสเกิด 20%) ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวได้ดี ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะยังคงทรงตัวในระดับสูง แต่อยู่ในระดับจัดการได้ เงินเฟ้อค่อยๆ ปรับลดลง

3. กรณีเลวร้าย - ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนรุนแรงขึ้น มีการคว่ำบาตรที่รุนแรงขึ้น (โอกาสเกิด 20%) ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ แต่ Lombard Odier มองว่าไม่ถึงขั้นทำให้เศรษฐกิจถดถอย (Recession) เพราะปัจจุบันกิจกรรมเศรษฐกิจโลกไม่ได้พึ่งพาน้ำมันมากเท่าในอดีต ประกอบกับเศรษฐกิจโลกเริ่มทยอยฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดเริ่มคลี่คลาย นอกจากนี้ รัฐบาลแต่ละประเทศจะออกมาตรการมาพยุงเศรษฐกิจ เช่น ช่วยเหลือค่าครองชีพกลุ่มคนรายได้น้อย เพื่อให้เศรษฐกิจไปต่อได้ 

4. กรณีเลวร้ายที่สุด - ความขัดแย้งขยายไปทั่วโลก (โอกาสเกิด 10%) ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอย และมีโอกาสเกิดวิกฤตทางการเงิน ธนาคารกลางทั่วโลกจะชะลอการออกนโยบายเข้มงวด เน้นนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน


ล่าสุด นางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director-Financial Advisory Head ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า KBank Private Banking ประเมินว่า มีโอกาสถึง 50% ที่ความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียจะลากยาว และการเจรจาไม่สำเร็จ ดังนั้น ในสถานการณ์ที่ราคาสินทรัพย์ในตลาดย่อตัวลง ถือเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนให้แก่ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงใน 2 กรณี ได้แก่

กรณีแรก นักลงทุนยังมีกระแสเงินสดสำหรับเข้าลงทุนเพิ่ม และสามารถถือการลงทุนได้นานกว่า 3 ปีขึ้นไป หรือมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น กองทุนที่ซื้อขายได้ทุกวันทำการเป็นสัดส่วนการลงทุนหลัก สิ่งแรกที่นักลงทุนต้องพิจารณาก็คือความเสี่ยงที่รับได้ หรือ Risk Profile ของตนเอง เช่น รับความเสี่ยงได้ต่ำถึงปานกลาง แนะนำให้ลงทุนเพิ่มในกองทุนผสมที่กระจายการลงทุนหลายๆ สินทรัพย์ เช่น กองทุน K-GA, K-GINCOME, K-ALLROAD, K-ALLGROWTH และ K-ALLENHANCE

แต่หากรับความเสี่ยงได้สูง แนะนำให้ลงทุนในกองทุนหุ้น อย่าง K-HIT และ K-CHANGE ภายใต้ธีม Winner of New Economy เนื่องจากพื้นฐานยังคงแข็งแกร่งในระยะยาว มีการกระจายลงทุนในหลายๆ กลุ่มธุรกิจทั่วโลก และถูกเทขายหนักจากความกังวลในตลาด ซึ่งหากสถานการณ์ความขัดแย้งคลี่คลายจะมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วและแรงกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ รวมถึงกองทุน K-CLIMATE ภายใต้ธีม Policy Driven for better world ซึ่งถือเป็นธีมการลงทุนที่สอดคล้องไปกับกระแสหลักของโลก (Mega Trend) ที่ราคาปรับลงไม่มากเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลงทุนใน REITs หรือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่สร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอ และจากภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นยังสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นอีกด้วย


กรณีที่สอง มีการลงทุนเต็มแล้ว (Fully invested) สิ่งที่ต้องทำอย่างแรก คือ พิจารณาว่าพอร์ตการลงทุนเป็นการลงทุนระยะยาวที่กระจายความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมอยู่แล้วหรือไม่ หากคำตอบคือใช่ แนะนำให้ถือพอร์ตต่อไปเพราะมีโอกาสที่สถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น 

อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนอยากเพิ่มเงินสดให้พอร์ต แนะนำให้ขายหุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) เพราะมีโอกาสฟื้นตัวช้ากว่าตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Develop Markets) หรือขายหุ้นไทยที่ได้ประโยชน์จากวิกฤตครั้งนี้ เพราะมีสัดส่วนของกลุ่มพลังงานสูง

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้สลับกองทุน (Switching) เช่น ขายกองทุนที่ราคาลงไม่มากไปซื้อกองทุนที่ราคาลงมากกว่า โดยเน้นกลุ่มที่ยังมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีโอกาสฟื้นตัวได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม การสลับกองทุนจะมีค่าธรรมเนียม และต้องประเมินกลยุทธ์ลงทุนประกอบด้วย

ขณะที่นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group – Executive Chairman ธนาคารกสิกรไทย เสริมว่า ยังคงคำแนะนำให้นักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนระยะยาว และมีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ให้ถือพอร์ตต่อไป ซึ่ง KBank Private Banking พร้อมเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมในทุกสถานการณ์ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ดีที่สุดในปีนี้

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้