850 จำนวนผู้เข้าชม |
ในระยะหลังๆ นี้ มักมีข่าวการซื้อหุ้นของเบิร์กไชร์แฮทธาเวย์ ซึ่ง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นผู้บริหารหลักในการลงทุนซื้อขายหุ้นที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า "เปลี่ยนไป" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การซื้อหุ้นที่ไม่ใช่แนว "Value" ดั้งเดิม ที่เป็นสไตล์ของบัฟเฟตต์ เช่น ต้องเป็นหุ้นที่ขายสินค้าผู้บริโภคที่มียี่ห้อโดดเด่น มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน เป็นธุรกิจทางด้านการเงิน เช่น สถาบันการเงิน หรือบริษัทประกันภัย ที่มีลูกค้ามั่นคงและคาดการณ์ได้ด้วยสถิติ หรือธุรกิจพลังงานที่เป็นสิ่งจำเป็น มั่นคงและคาดการณ์ได้ เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงที่กล่าวถึง ก็คือ มีการซื้อหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับดิจิทัล หรือไฮเท็ค ที่บัฟเฟตต์ไม่คุ้นเคยและเคยบอกว่า "คาดการณ์ได้ยาก” และเปลี่ยนแปลงได้เร็วมาก หรือการลงทุนในธุรกิจที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เช่น ปิโตรเลียม หรือน้ำมัน แต่นั่นเป็นเรื่องจริงหรือ? มาลองดูกันย้อนหลังไปซัก 5-6 ปี ที่แล้วที่บัฟเฟตต์เริ่มซื้อหุ้นแอปเปิล
ประมาณช่วงปี 2016 ถึง 2018 บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นแอปเปิล ใช้เงินประมาณ 36,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 5.4% ของหุ้นแอปเปิล และประมาณ 45% ของพอร์ตเบิร์กไชร์ ในวันนี้ และถึงวันนี้ก็กำไรไปแล้วประมาณ 120,000 ล้านเหรียญ หรือ 3.3 เท่า ในเวลา 5 ปี สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องของการลงทุนซื้อขายหุ้น แต่มันคืออีกธุรกิจหนึ่งของเขาเช่นเดียวกับหุ้นอย่าง โค๊ก หรือประกันภัยอย่าง General Re และอีกหลายบริษัท เพราะเขาคือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของแอปเปิล และนี่ก็คือแนวความคิดในการลงทุนของบัฟเฟตต์มานานหลายสิบปีแล้วที่ "ไม่เคยเปลี่ยน”
คนที่คิดว่าเปลี่ยน คงมองในแง่ของธุรกิจว่า บัฟเฟตต์ไม่เข้าใจและไม่เคยชอบเทคโนโลยีหรือดิจิทัล จริงๆ แล้วน่าจะเป็นความเข้าใจผิด สิ่งที่บัฟเฟตต์ไม่ชอบคือความไม่แน่นอนของธุรกิจ ซึ่งหุ้นไฮเท็คหรือดิจิทัลส่วนใหญ่มักมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว อย่างไรก็ตาม ธุรกิจไฮเท็คและดิจิทัลที่อยู่มานาน และเติบโตเกือบเต็มที่แล้วนั้น มักจะมีความมั่นคงและมีการเปลี่ยนแปลงน้อยแล้ว จึงอยู่ในวิสัยที่บัฟเฟตต์จะลงทุนได้ บัฟเฟตต์เองคงจะดูแล้วว่า หุ้นแอปเปิลอยู่ในจุดนั้นแล้ว และมันได้กลายเป็นหุ้นสินค้าผู้บริโภคที่โดดเด่น และราคาก็ไม่แพงเลยในวันที่เขาซื้อ
เมื่อปีที่แล้ว บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นนูแบงค์ (Nubank) ของบราซิล ซึ่งเป็นธนาคารแนวสตาร์ทอัพ ที่เน้นดิจิทัลเป็นหลัก และมีการเติบโตเร็วมาก โดยลงทุนตั้งแต่ตอนที่บริษัทยังไม่เข้าตลาด แบบที่เป็น Private Equity และตอนที่ทำ IPO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คิดเป็นเงินรวมกันประมาณ 7-800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่บัฟเฟตต์ไม่เคยทำ จนมีการตั้งข้อสังเกตว่า "เขาเปลี่ยนไป”
แต่ผมกลับมองว่า เขาอาจไม่ได้เป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ เพราะในช่วงหลังๆ บัฟเฟตต์เริ่มปล่อยให้ทีมงานเป็นคนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะในดีลที่ไม่ใหญ่มากนัก ไม่เกิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนั้น กรณีของนูแบงค์เองจะเรียกว่าเป็นบริษัทไฮเท็คดิจิทัลก็ไม่น่าจะได้ เพียงแต่ใช้ "เครื่องมือ” ดิจิทัลมาทำธุรกิจสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นธุรกิจที่มั่นคงคาดการณ์ได้ และอาจทำให้มี "ความได้เปรียบทางการแข่งขัน” และเข้าเกณฑ์บัฟเฟตต์ทุกประการ ดังนั้น บัฟเฟตต์ไม่ได้เปลี่ยน แต่มีการปรับความคิดให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนไปมากกว่า
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ หุ้นนูแบงค์ก็ยังไม่ไปไหน แถมราคาตลาดยังต่ำกว่าราคาจองด้วยซ้ำ
พูดถึงเรื่องดิจิทัลและไฮเท็คแล้ว ผมยังจำได้ว่า เมื่อประมาณ 10 ปีมาแล้ว บัฟเฟตต์ได้เข้าซื้อหุ้น IBM ที่ครั้งหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของโลกคอมพิวเตอร์ของอเมริกาและของโลก อย่างไรก็ตาม วันที่บัฟเฟตต์ซื้อหุ้น IBM ด้วยเงินถึง 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ถือว่าใหญ่มากในวันนั้น เขาไม่ได้ซื้อเพราะว่ามันเป็นเท็ค แต่เขาซื้อเพราะว่า IBM นั้นโตจนอิ่มตัว และคอมพิวเตอร์ก็เริ่มเป็นเครื่องมือธรรมดาที่ทุกธุรกิจจะต้องใช้ จนทำให้ IBM ต้องผันตัวเข้ามา "ให้บริการ” งานคอมพิวเตอร์ทั้งหมดแบบ In-house ถึงที่ ซึ่งทำให้มีรายได้และกำไรอย่างสม่ำเสมอ มั่นคงเหมือนกับงานบริการอื่นๆ ที่ลูกค้าไม่หนีไปไหน
เมื่อเดือนที่แล้ว บัฟเฟตต์เข้าไปซื้อหุ้น Occidental Petroleum กว่า 10% คิดเป็นเงินประมาณ 36,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ถือเป็นการลงทุนที่ใหญ่มาก และแน่นอนว่าต้องเป็นการตัดสินใจของบัฟเฟตต์ ซึ่งก็ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปถึง 30% จนหลายคนมองว่าบัฟเฟตต์เปลี่ยนไปหรือเปล่า เพราะไปเล่นหุ้นน้ำมันที่มักจะผันผวนรุนแรงมาก ไม่ใช่สไตล์ของบัฟเฟตต์
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องจริง จริง ๆ แล้วบัฟเฟตต์มักจะ "ซื้อหุ้นถูกมากๆ” โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่พอให้ลงทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ ในยามที่เขามีเงินสดเหลือมากๆ อย่างในช่วงเวลานี้ ซึ่งหุ้น Occidental น่าจะเข้าข่ายเพราะมีค่า P/E ประมาณ 12 เท่า และเขาคงเห็นแล้วว่าราคาน้ำมันคงจะอยู่สูงต่อไปอีกนานพอสมควร เมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ผมเชื่อว่าเขาคงจะขายไปเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปหลังจากนี้ และนี่ก็คงคล้ายๆ กับการซื้อ PetroChina ของจีน ประมาณเกือบ 20 ปีที่แล้ว ด้วยเม็ดเงิน 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ค่า P/E ประมาณ 3-4 เท่า และเขาขายมันไปอย่างรวดเร็วเมื่อหุ้นวิ่งขึ้นไปแรงมาก ส่วนหนึ่งเพราะบัฟเฟตต์เข้าไปซื้อ ทำกำไรให้กับเบิร์กไชร์ได้ไม่ต่ำกว่า 5-6 เท่า ในเวลาแค่ 3-4 ปี
ล่าสุด คือเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บัฟเฟตต์เข้าไปซื้อหุ้น HP บริษัทผู้นำสินค้าพริ้นเตอร์และคอมพิวเตอร์ ด้วยเม็ดเงินประมาณ 4,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้หุ้นมาราว 11.5% และก็เหมือนเช่นเคย คือ การซ์้อของเขาทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปทันทีประมาณ 15% และก็เช่นกันที่นักวิเคราะห์และผู้ติดตามบัฟเฟตต์พูดกันอีกว่า บัฟเฟตต์กำลังเปลี่ยนไปเล่นหุ้นเทคที่ "ไม่เคยทำมาก่อน”
สำหรับผมแล้ว หุ้น HP ที่เคยยิ่งใหญ่มากในฐานะที่เป็นหุ้นคอมพิวเตอร์เทคโนโลยี หมดสภาพของการเป็นหุ้นเทคอย่างที่เราพูดกันในวันนี้นานมากแล้ว หุ้น HP ในวันนี้อาจคล้ายกับแอปเปิลในแง่ที่ว่ามันเป็นสินค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัลที่คนใช้กันเป็นปกติ คนซื้อก็ไม่ได้เน้นเรื่องของเทคโนโลยีมากนัก มันเป็นเรื่องของความจำเป็นที่ต้องใช้ ความสะดวกคุ้นเคย ความไว้ใจได้ อาจรวมไปถึงความเท่ของคนที่ใช้มัน แต่แน่นอนว่า ธุรกิจมีความมั่นคงด้านยอดขายและกำไร สามารถนำมาใช้ประเมินราคาหุ้นได้ไม่ยาก และเข้าข่ายสินค้าอย่าง "โค๊ก" หรือซอสมะเขือเทศ "ไฮน์" ที่บัฟเฟตต์ชอบลงทุน เมื่อราคาหุ้นถูกหรือสมเหตุผล รวมถึงการที่มันมีขนาดใหญ่พอที่จะซื้อ เมื่อเทียบกับเงินสดในพอร์ตลงทุนของเบิร์กไชร์ขณะนี้ที่มีสูงถึง 150,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณเกือบ 5 ล้านล้านบาท
นอกจากหุ้น HP แล้ว ในเดือนที่แล้ว บัฟเฟตต์ยังได้ซื้อหุ้นประกันภัย Alleghany มูลค่า 11,600 ล้านเหรียญเข้ามาอยู่ใน "ครอบครัวหุ้นประกันภัย” ที่มีอยู่ไม่รู้กี่บริษัท และนี่ก็คือธุรกิจที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นธุรกิจที่เป็น "ฐานของทุน” ของบัฟเฟตต์ในการขยายอาณาจักรเบิร์กไชร์ เนื่องจากบริษัทประกันจะมีเงินสด หรือ Float ที่บริษัทประกันจะได้รับเบี้ยประกันล่วงหน้า แต่จ่ายเคลมประกันในภายหลัง ทำให้มีเงินสด "ลอย” อยู่เต็มไปหมดที่บัฟเฟตต์จะสามารถนำไปลงทุนได้โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
จากการลงทุนซื้อหุ้นทั้งหมดที่กล่าวถึง ทำให้ผมมีตวามเห็นว่า สิ่งที่บัฟเฟตต์ทำเมื่อหลายปีที่ผ่านมานั้นจนถึงวันนี้ ไม่ได้เปลี่ยนจากสิ่งที่เขาทำมาหลายสิบปี แนวคิด หรือกลยุทธ์หลักของเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือ เป็นแนว VI ที่อาจจะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อก หรือหุ้นที่มีราคาถูกมาก และมี Margin of Safety เหลือเฟือ ซื้อแล้วถือยาว "ตลอดชีวิต” ถ้าเป็นซุปเปอร์สต็อก หรือยาวจนกว่าราคาหุ้นจะวิ่งไปถึงมูลค่าที่ควรเป็น
โดยที่หุ้นหรือบริษัทเป้าหมายนั้น ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และไม่ได้จำกัดว่า จะเป็นหุ้นธรรมดาหรือหุ้นไฮเท็ค หรือจะเป็นหุ้นโภคภัณฑ์หรือไม่ใช่ แม้แต่หลักทรัพย์แนว Token หรือเหรียญที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนนั้น หากมีเหตุผลเชิงธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้และกำไร หรือมีเหตุผลในด้านของการใช้สอยที่เป็นประโยชน์ และที่สำคัญที่สุด ต้องสามารถประเมินมูลค่าได้อย่างมีความแน่นอนระดับหนึ่ง ผมก็คิดว่า บัฟเฟตต์ก็อาจลงทุนได้ แม้ว่าในวันนี้กลุ่มคนที่เล่นเหรียญชื่อดังอย่าง Peter Thiel กูรูนักลงทุนไฮเท็คสตาร์ทอัพเบอร์ต้นๆ ของโลกจะบอกว่า บัฟเฟตต์คือคนแก่ที่ขวางโลก และเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของคนเล่นเหรียญโดยเฉพาะบิทคอยน์