1380 จำนวนผู้เข้าชม |
หลังจากนายเพชร นันทวิสัย ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บมจ. ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG) ออกมาให้ข้อมูลว่า วิกฤตสงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครน ที่ยืดเยื้อ กลายเป็นปัจจัยหนุนให้ยอดส่งออกไก่ปีนี้น่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพราะได้สร้างผลกระทบต่ออุปทานไก่ทั่วโลก โดยเฉพาะยุโรป (ไม่รวมอังกฤษ) ซึ่งมีการนำเข้าไก่จากยูเครนคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 20% อีกทั้งมาเลเซียยังระงับการส่งออกไก่อีกเดือนละ 3.6 ล้านตัว เพื่อแก้ปัญหาราคาไก่ในประเทศแพงจากต้นทุนที่สูงขึ้น มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้มีโอกาสที่สิงคโปร์จะหันมานำเข้าไก่จากไทยมากขึ้น ให้เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นด้วย
ดังนั้น บริษัทฯ คาดว่ายอดส่งออกไก่ทั้งปีจะเพิ่มขึ้น 20% ทั้งไก่ดิบ ไก่แช่แข็ง และไก่ปรุงสุก หนุนให้รายได้จากการส่งออกไก่ไปต่างประเทศปีนี้ น่าจะมีสัดส่วนถึง 20-30% ของรายได้รวม
ขณะเดียวกัน การที่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับราคาขายหมูและไก่ ทั้งในและต่างประเทศ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงทำให้บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า ยอดขายรวมทั้งปีจะเติบโตจากปีก่อนได้ 10-15% หนุนให้ผลดำเนินงานปีนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
พร้อมกันนั้น เพื่อขยายตลาดให้เพิ่มขึ้น และวางฐานรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนไว้ 3.5 พันล้านบาท สำหรับการลงทุนธุรกิจสุกรทั้งในประเทศ และในเวียดนาม รวมไปถึงขยายร้าน "ไทย ฟู้ดส์ เฟรช มาร์เก็ต” เพื่อช่วยกระจายผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ให้ถึงมือลูกค้าโดยตรง โดยตั้งเป้าขยายสาขาปีนี้ให้ได้ 200 สาขา และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการวันละ 40,000 คน
เมื่อได้ตรวจสอบความเห็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เพิ่มเติม ก็ได้รับคำตอบว่า ปีนี้ถือเป็นปีทองของ TFG จริง เพราะได้ปัจจัยสนับสนุนทั้งด้านราคาขายและยอดขาย ส่งเสริมให้ต้องปรับประมาณการกำไรปีนี้เพิ่มขึ้น
ค่ายบัวหลวง (BLS) คาดกำไรหลักไตรมาส 2 อยู่ที่ 660 ล้านบาท เติบโต 103% YoY และ 2% QoQ โดยมีปัจจัยหนุนจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาขายหมู (กิโลกรัมละ 95 บาท เพิ่มขึ้น 27% YoY และ 6% QoQ) และราคาขายไก่ (กิโลกรัมละ 55 บาท เพิ่มขึ้น 38% YoY และ 5% QoQ) ถึงแม้ต้นทุนวัตถุดิบจะยังคงเป็นขาขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี แต่บริษัทฯ ได้ล็อคราคาไว้แล้วจนถึงไตรมาส 2 หนุนให้อ้ตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 15-16% เทียบกับ 11.5% ในไตรมาส 2 ปีก่อน
และเนื่องจากกำไรไตรมาสแรกของบริษัทฯ ออกมาสูงกว่าที่คาดอย่างมาก จึงทำให้ต้องปรับประมาณการกำไรสุทธิปีนี้เพิ่มขึ้นอีก 25% เป็น 2.3 พันล้านบาท เพื่อให้สะท้อนถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้น 8% เป็น 4.19 หมื่นล้านบาท และ GPM ที่ปรับเพิ่มจาก 11% เป็น 14.1% ส่งผลให้ต้องปรับราคาเหมาะสมเพิ่มขึ้น 12% เป็น 6.70 บาท ตามไปด้วย
ค่ายเอเซีย พลัส (ASPS) คาดผลดำเนินงานไตรมาส 2 จะเห็นการเติบโตของกำไรโดดเด่นทั้งรายไตรมาส (QoQ) และรายปี (YoY) จากการที่ราคาไก่และสุกรปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หนุนให้ภาพรวมทั้งปี คาดว่า TFG จะมีกำไรสุทธิฟื้นตัวถึง 240% จากฐานกำไรที่ต่ำมากในปีก่อน และได้อานิสงค์จากการที่ธุรกิจสุกรและไก่ฟื้นตัวชัดเจน คิดเป็นราคาเหมาะสมที่ 6 บาท
ค่ายพาย (PI) สรุปประเด็นว่า พร้อมปรับเพิ่มรายได้ปีนี้และปีหน้าขึ้น 14% และ 18% เพื่อให้สะท้อนราคาผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้นรับการฟื้นตัวของอุปสงค์ หลังจากมีการคลายล็อกดาวน์ และภาวะอุปทานตึงตัว รวมไปถึงยอดขายที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และการที่ GPM ประคองตัวได้ในระดับ 14.3-14.5% ส่งผลให้ต้องปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้ และปีหน้า ขึ้นอีก 84% และ 52% ตามลำดับ เพื่อให้สะท้อนถึงภาพรวมที่ดีขึ้น พร้อมแนะนำให้ "ทยอยสะสม” ก่อนที่กำไรจะฟื้นตัวแข็งแกร่ง โดยมีมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานที่ 6 บาท