2168 จำนวนผู้เข้าชม |
ดร.สมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. กันกุล เอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) บอกว่า หลังจากบริษัทย่อย THCG ได้ใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้สามารถนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชงจากสหรัฐฯ รวมถึงผลิตกัญชง (ทั้งในรูปแบบการปลูก และไม่ใช่การปลูก) เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรม ครอบคลุมห่วงโซ่ธุรกิจ 5 กลุ่ม คือ เครื่องดื่ม อาหาร ยาและอาหารเสริม เครื่องแต่งกาย และผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มุ่งเดินหน้ารุกธุรกิจกัญชง กัญชา ตามแผนที่วางไว้อย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าการเติบโตไปพร้อมๆ กับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อขยายตลาดตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพส่งต่อไปยังผู้บริโภค
ที่สำคัญ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการควบคุมการเพาะปลูกสูงมาก เพราะมีเป้าหมายในการผลิตกัญชง กัญชา ระดับ Medical Grade เพื่อใช้ในทางการแพทย์ โดยราคารับซื้อช่อดอก Medical Grade โดยองค์การเภสัชกรรมอยู่ที่ กิโลกรัมละ 45,000 บาท โดยต้นหนึ่งสามารถผลิตดอกออกมาได้ 250 กรัม คือ 1 ต้น คิดเป็นมูลค่าเกือบ 1 หมื่นบาท ส่วนเมล็ดมีราคารับซื้อที่ไร่ละ 800-1,000 บาท โดย 1 ไร่ สามารถผลิตได้ 100 กิโลกรัม
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ จึงได้ส่งทีมผู้บริหารไปศึกษาดูงานทั้งด้านนวัตกรรมการผลิต เครื่องจักร และตัวอย่างผลิตภัณฑ์กัญชง กัญชา จากฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และเนเธอร์แลนด์ เพื่อนำมาพัฒนาและประยุกต์ใช้ต่อยอดสำหรับการวางตลาดในประเทศ รวมถึงวางรากฐานสำหรับขยายตลาดผลิตภัณฑ์กัญชง กัญชา เพื่อส่งออกอีกด้วย
"การปลดล็อกทั้งกิ่ง ก้าน ช่อดอก และเมล็ด ทำให้กัญชง กัญชา กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่ได้รับกระแสสนใจจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น Pfizer Johnson หรือบริษัทยารายอื่นในระดับ Top 10 ของโลก มากขึ้นเป็นลำดับ เฉพาะตลาดกัญชง กัญชา สำหรับการใช้ในทางการแพทย์ปัจจุบันมีมูลค่าราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งอาจเติบโตได้ถึงปีละ 100% ไปอีก 6-7 ปี ทำให้มูลค่าตลาดกัญชง กัญชา เติบโตเป็น 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ"
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 2 กลุ่มบริษัทฯ มีความมั่นใจว่า แนวโน้มรายได้และกำไรจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ตามการรับรู้รายได้ของธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ซึ่งคาดว่าจะผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมได้มากขึ้น เพราะกระแสลมกลับมาดีขึ้นมาก หรืองานรับเหมาก่อสร้างและวางระบบทางด้านวิศวกรรม (EPC) ที่มีงานในมือ (Backlog) รอรับรู้รายได้อยู่ 4,500 ล้านบาท หนุนด้วยรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า การขายทรัพย์สินตามสัญญาเช่าเงินทุน และยังจะเริ่มต้นรับรู้รายได้จากธุรกิจกัญชง กัญชา เป็นครั้งแรกอีกด้วย
ทั้งนี้ GUNKUL ตั้งเป้าผลดำเนินงาน 2 ปีนี้ เติบโตไม่ต่ำกว่าปีละ 20% ขับเคลื่อนผ่านการเข้าประมูลงาน EPC จากโครงการใหม่ๆ ที่จะทยอยเปิดประมูลปีนี้กว่า 50,000 ล้านบาท โดยคาดหวังรับงาน 7-10% ของมูลค่างานทั้งหมด เพิ่ม backlog ให้สูงขึ้น จากที่มีล่าสุด 4,500 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในและต่างประเทศ ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตแตะ 1,000 เมกะวัตต์ (MW) ภายในปีหน้า
ส่วนธุรกิจกัญชง กัญชา น่าจะเห็นการเติบโตของรายได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะต่อไป เพราะกลุ่มบริษัทฯ ได้ใบอนุญาตประกอบกิจการกัญชงครบทั้งหมดแล้ว คือ ใบอนุญาตนำเข้าเมล็ด ปลูก สกัด จำหน่าย และส่งออก โดยการปลูกกัญชง กัญชา ตั้งเป้าปลูกให้ครบ 100 ไร่ (ขนาดพื้นที่ 22,600 ตารางเมตร) มีการก่อสร้างแล้ว 4 โรงเรือน และอยู่ระหว่างก่อสร้างเพิ่มอีก 7 โรงเรือน นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะได้ใบอนุญาตประกอบกิจการคลินิกกัญชาภายใน 1-2 เดือนนี้ เพิ่มรายได้จากการจำหน่ายสินค้า กัญชง กัญชา และการให้บริการทางการแพทย์แผนไทยเพิ่มเติมเป็นลำดับถัดไป
ในมุมมองนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ คาดหุ้น GUNKUL จะกลับมาได้รับความสนใจจากตลาดอีกครั้ง เพราะเชื่อว่า แนวโน้มผลดำเนินงานผ่านพ้นช่วง bottom ของปีไปแล้วในไตรมาสแรก อีกทั้งตลาดเห็นพัฒนาการของธุรกิจกัญชง กัญชา ที่ชัดเจน พร้อมรับรู้รายได้ทันทีในไตรมาส 2 ช่วยเสริมรายได้จากธุรกิจขายไฟฟ้า และ EPC ที่ยังคงเติบโตตามแผนที่ผู้บริหารวางไว้ ช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นที่ Underperform ตลาดฯ ราว 7% ในช่วง 3 เดือนล่าสุด กลับมา underperform ตลาดฯ ได้อีกครั้ง และน่าจะไต่ระดับขึ้นไปมีลุ้นใกล้เคียง ราคาเหมาะสมเฉลี่ยที่ 6.22 บาท
เคทีบีเอส (KTBST) ชี้ประเด็นว่า ทุกธุรกิจมีพัฒนาการที่ดี สรุปประเด็นได้ดังนี้ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า คาดว่าจะผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น YoY ขณะที่การขยายกำลังการผลิตตั้งเป้าเพิ่มปีนี้ 100-150 MW ส่วนธุรกิจ EPC ยังคงเป้าการรับรู้รายได้ในปีนี้ที่ 2.5-3.0 พันล้านบาท จาก backlog ราว 4.5-5.0 พันล้านบาท ขณะที่ธุรกิจกัญชง กัญชา ยังเดินหน้าตามแผน และเตรียมเปิดคลีนิกซึ่งมีการรักษาแบบร่วมสมัยเพิ่มเติมในไตรมาสหน้า สำหรับการสกัดสาร CBD อยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรอีกหลายราย โดยมีบางส่วนเริ่มส่งคำสั่งซื้อแล้ว
ดังนั้น ยังคงมุมมองแนวโน้มผลดำเนินงานไตรมาส 2 ฟื้นตัวได้ดี QoQ จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่กลับมาผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น รวมถึงการรับรู้รายได้จากงาน EPC หลังผ่าน low season ขณะที่ธุรกิจกัญชง กัญชา คาดตลาดคลายความกังวลเรื่องความต้องการสินค้าลงบางส่วน เนื่องจากที่ผ่านมามีการประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรหลายราย และเริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามาแล้ว คาดว่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นหลังประกาศงบการเงินไตรมาส 2 แล้ว และเชื่อว่า จะเห็นกำไรเร่งตัวขึ้นได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยประเมินกำไรปกติปีนี้ อยู่ที่ 2,911 ล้านบาท เติบโต 43% YoY คิดเป็นราคาเหมาะสม 6.45 บาท แบ่งเป็นมูลค่าจากธุรกิจ EPC ที่ 1.20 บาท ธุรกิจผลิตไฟฟ้า 3 บาท และธุรกิจกัญชง กัญชา มูลค่า 2.25 บาท
ทั้งนี้ อาจมีการให้ upside เพิ่ม หาก GUNKUL ได้โครงการโรงไฟฟ้าใหม่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างเจรจาอยู่ ราว 200 MW คาดเห็นความคืบหน้าในครึ่งปีหลัง หรือธุรกิจกัญชง กัญชา ทำกำไรได้มากกว่าที่ประเมินไว้
ด้านหยวนต้า (YUANTA) ประเมินแนวโน้มกำไรไตรมาส 2 เบื้องต้นที่ 400-500 ล้านบาท ฟื้นเกือบเท่าตัว เทียบรายไตรมาส (QoQ) และรายปี (YoY) ขับเคลื่อนโดยรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่มี Capacity factor สูงขึ้นทั้ง QoQ และ YoY และการรับรู้รายได้จากธุรกิจกัญชง กัญชา ครั้งแรก แม้จะยังไม่มากนัก แต่น่าจะมีผลให้แนวโน้มกำไรปกติทั้งปีทำได้ที่ 2,505 ล้านบาท เติบโต 33.1% YoY โดยยังไม่นับรวมโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ที่อยู่ระหว่างศึกษา และไม่รวมส่วนแบ่งกำไรจาก THCG คิดเป็นราคาเหมาะสม 6.90 บาท จึงแนะนำ “ซื้อ”
ส่วนฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ระบุว่า น่าจะเห็น GUNKUL เข้าสู๋โหมดการเติบโตรอบใหม่ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป โดยธุรกิจกัญชง กัญชา ที่เริ่มผลิดอกออกผลตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้ และธุรกิจ EPC จะเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตของกำไรที่สำคัญใน 2 ปีนี้ นอกเหนือจากธุรกิจทำเงินสูง อย่างธุรกิจไฟฟ้า โดยคาดหมายกำไรปกติปีนี้ และปีหน้าที่ 3,860 และ 4,067 ล้านบาท ตามลำดับ และแนะนำ "ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสม 8.10 บาท