สูตรแก้ชง รับตลาด (หุ้น) หมี

1958 จำนวนผู้เข้าชม  | 

สูตรแก้ชง รับตลาด (หุ้น) หมี

หลังจากปรับปรุงข้อมูลหุ้นที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของฝ่ายวิจัย บมจ. หลักทรัพย์กสิกรไทย (KS) ภายหลังประกาศงบการเงินกำไรไตรมาสแรกปีนี้ สรุปได้ว่า หุ้นที่ KS ทำการศึกษารายงานกำไรรวมที่ 2.38 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 11% QoQ และ 7% YoY) สูงกว่าประมาณการของตลาด 5% ที่สำคัญ หุ้นประมาณ 60% ทำผลงานได้ดีกว่าประมาณการกำไร โดยหุ้นที่รายงานกำไรแข็งแกร่ง ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ การแพทย์ ปิโตรเคมี ที่อยู่อาศัย และสาธารณูปโภค และในทางกลับกัน กลุ่มท่องเที่ยว ไอซีที Office REITs และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน รายงานกำไรน่าผิดหวัง

สำหรับไตรมาส 2 นี้ KS คาดว่า หุ้นกลุ่มบริการ (ธนาคาร การเงิน พาณิชย์ อสังหาฯ เชิงพาณิชย์ การแพทย์ ท่องเที่ยว ขนส่ง ไอซีที สื่อและสิ่งพิมพ์ และสถานีบริการน้ำมัน) จะรายงานกำไรที่ดีขึ้น ขานรับการเปิดประเทศ ซึ่งทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมคึกคักขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาเปิดภาคเรียน การกลับไปทำงานที่สำนักงาน การกลับมาเปิดสถานบันเทิงอีกครั้ง การหวนกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และช่วงไฮซีซั่นของการเดินทางในยุโรป

อย่างไรก็ตาม การพุ่งตัวของอัตราเงินเฟ้อ ที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย - ยูเครน และการหยุดชะงักของห่วงโซ่ อุปทานจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในจีน น่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต การขนส่ง ต่อทั้งภาคครัวเรือน และภาคการผลิตตลอดไตรมาสนี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธุรกิจเกษตรและอาหาร ยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ ปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง  สาธารณูปโภค และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยผลกระทบจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอำนาจในการต่อรองของแต่ละบริษัทฯ ว่าจะปรับขึ้นราคาขายเพื่อบรรเทาภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ดีเพียงไร

กระนั้น คาดว่า กลุ่มอสังหาฯ จะรายงานกำไรอ่อนแอลงเล็กน้อย QoQ และ YoY จากฐานที่สูงเมื่อปีที่แล้ว และเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ในทางกลับกัน กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง สำรวจและผลิตปิโตรเลียม โรงกลั่น ถ่านหิน ขนส่งสินค้าทางเรือ และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร คาดจะรายงานกำไรที่ดีขึ้น (YoY) จากราคาพลังงาน ส่วนต่างการกลั่น และราคาสินค้าเกษตรที่ปรับสูงขึ้น ท่ามกลางอุปทานที่ตึงตัว การควบคุมการส่งออกอาหารที่เข้มงวดขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน และการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน

ซึ่งเมื่อคัดเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรไตรมาส 2 และแนวโน้มทั้งปีดีขึ้น อีกทั้งยังมี upside จากราคาเป้าหมาย มากกว่า 15%  KS เลือกหุ้น 11 ตัว ประกอบด้วย BJC CPALL CENTEL SHR DTAC HENG SAWAD MTC CHAYO HENG และ JWD

แต่กับบรรยากาศการลงทุนในขณะนี้ ซึ่งถูกกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่สูง นโยบายการเงินที่เข้มงวด และเศรษฐกิจถดถอย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า จะเห็นตลาดหุ้นในภาวะตลาดหมีต่อเนื่องไปอีก 2-3 เดือนนี้ กระนั้น ฝ่ายวิจัย KS มีความเชื่อมั่นว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ กำลังอยู่ในจุดสูงสุด ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) น่าจะลดระดับความรุนแรงในการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดลงมา ขณะเดียวกัน ท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่พร้อมปรับลดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจากจีน น่าจะช่วยผ่อนคลายปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ขณะที่กลุ่ม OPEC, non-OPEC และอิหร่าน พร้อมเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบน่าจะช่วยผ่อนคลายให้อัตราเงินเฟ้อลดลงเช่นกัน โดยตัวสัญญาณบ่งชี้ว่าหมดรอบตลาดหมีจะขึ้นอยู๋กับท่าทีของ Fed เป็นสำคัญ

ดังนั้น เพื่อปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับภาวะตลาดหมี KS จึงตัดหุ้น CHAYO, JWD และ BJC ออกจาก Top pick ชั่วคราว แล้วแทนที่ด้วยหุ้น CPF ASIAN RBF BLA GULF และ CKP พร้อมกับเสนอแนะแผนลงทุน ใน 6 ธีม  

- ธีมหุ้นปันผล (KKP, DTAC) เพราะหุ้นปันผลจะทำผลงานโดดเด่นในช่วงที่ตลาดอ่อนตัว  - ธีมหุ้นที่ป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะขาดแคลนอาหารทั่วโลก (CPF, ASIAN, RBF) เพราะประเทศไทยน่าจะได้ประโยชน์จากความต้องการส่งออกที่เพิ่มขึ้น
- ธีมหุ้น Defensive (GULF, CKP) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากมีวัฏจักรที่สวนทางตลาด
- ธีมหุ้นที่ป้องกันความเสี่ยงจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น (BLA)  
- ธีมหุ้นเปิดเมือง (MTC, SAWAD, BEM)
- ธีมหุ้นที่มีพัฒนาการเชิงบวกในจีน (PSL) การเปิดประเทศอีกครั้งและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนจะช่วยเพิ่มอัตราค่าระวางของ PSL

ส่วนการจับจังหวะลงทุน ควรใช้แนวทาง "Buy on dip" ในหุ้นที่ผลกำไรเติบโตในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยเล็กน้อย และมีส่วนต่างจากราคาเป้าหมาย

นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงหุ้นเติบโตที่มี PEG>1 และหุ้นขนาดเล็ก เนื่องจากประเมินว่า สภาพคล่องในตลาดจะลดลงในช่วงขาลง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้