เอสจี แคปปิตอล บริษัทลูกของ SINGER ยื่นไฟลิ่ง ขาย IPO 820 ล้านหุ้น ระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ฯ

นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. เอสจี แคปปิตอล (SGC) เปิดเผยว่า ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 820 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.08% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ที่ราคาพาร์ หุ้นละ 1 บาท เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กลุ่มไฟแนนซ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  

ทั้งนี้ SGC เป็นบริษัทลูกของ บมจ. ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ที่ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อ 4 ประเภท ประเภทแรก สินเชื่อเช่าซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องใช้ในครัวเรือน (Home Appliances) เครื่องใช้ไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (Commercial Appliances) และเครื่องจักร (Captive Finance) ประเภทที่สอง สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์แบบโอนกรรมสิทธิ์เล่มทะเบียน และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ครอบคลุมทั้งรถบรรทุก รถส่วนบุคคล และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ภายใต้แบรนด์ “รถทำเงิน” ประเภทที่สาม สินเชื่อสวัสดิการพนักงาน (Debt Consolidation) และประเภทสุดท้าย สินเชื่อผ่อนทอง (Click2Gold) ซึ่งมีจุดแข็งตรงการมีเครือข่ายครอบคลุมทุกภูมิภาคในประเทศ ทั้งที่เป็นดีลเลอร์ (Dealer) ตัวแทน (Agent) รวมกัน 1,556 ราย และเครือข่ายสาขาของบริษัทในเครืออีกกว่า 4,798 สาขา อีกทั้งยังมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค จนทำให้พอร์ตสินเชื่อเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

ด้านนางสาวบุษบา กุลศิริธรรม กรรมการผู้จัดการ SGC เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ว่า จะนำเงินทุนไปใช้ขยายธุรกิจให้บริการสินเชื่อ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงชำระคืนเงินกู้ยืมผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ SINGER (ซึ่งภายหลัง IPO บริษัทแม่จะถือหุ้นลดลงจาก 100% เหลือ 74.92%) เพื่อให้บริษัทฯ มีต้นทุนทางการเงินต่ำลง สนับสนุนความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งขึ้น เพิ่มโอกาสสสู่การเป็นผู้นำตลาดสินเชื่อ และสินเชื่อเช่าซื้อสินค้า

ซึ่งเมื่อย้อนดูผลดำเนินงานของ SGC จะพบว่า บริษัทฯ มีการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรที่ดีต่อเนื่อง สะท้อนจากรายได้ช่วง 3 ปีล่าสุด (ปี 2562 - 2564) อยู่ที่ 891.52 ล้านบาท 1,362.96 ล้านบาท และ 1,781.82 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 119.36 ล้านบาท 416.58 ล้านบาท และ 593.03 ล้านบาท ตามลำดับ .

สำหรับงวดไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวม 494.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปีก่อน (YoY) 25.79% และมีกำไรสุทธิ 155.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.46% YoY ตามการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยรับ และการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อรถทำเงินที่เริ่มจัดตั้งขึ้นในปี 2560 ที่ผ่านมา จนทำให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มสูงถึง 31.46% ตามไปด้วย

ขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 3 ปีล่าสุด (ปี 2562 - 2564) อยู่ที่ 282.87 ล้านบาท 191.04 ล้านบาท และ 202.66 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับงวดไตรมาสแรกปีนี้ อยู่ที่ 40.32 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสแรกปีก่อน 11.9%