โลกในมุมมอง Value Investor

1616 จำนวนผู้เข้าชม  | 

โลกในมุมมอง Value Investor

เวลาช้อนหุ้นยิ่งใหญ่ 

การปรับตัวขึ้นของหุ้นจีนอย่างโดดเด่นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานั้น น่าจะทำให้หลายคนเริ่มคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเริ่ม "ช้อนหุ้น” หลังภาวะวิกฤติที่ดำเนินมาตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นเทคของจีนที่ตกลงมาอย่างหนักต่อเนื่องยาวนาน ดัชนีตลาดหุ้นเซินเจิ้นตั้งแต่ต้นปีตกลงมาอย่างหนักตามตลาดหุ้นแนสดัก และตกลงมาต่ำสุดถึงประมาณ 30% ก่อนที่จะเริ่มปรับตัวขึ้น และเฉพาะในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วถึงประมาณ 14%  

หุ้นเทคยักษ์ใหญ่หลายตัวปรับตัวขึ้นแรงมาก หุ้น BABA หรืออาลีบาบาปรับตัวขึ้นถึง 42% ในเวลาเพียงเดือนเดียว และนี่ก็คือหุ้นที่ผมเคยเขียนถึงเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่า ราคาหุ้นได้ตกลงมามากจนค่า P/E เหลือเพียง 17 เท่า ในขณะที่หุ้นก็ยังแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ ดังนั้น มันอาจจะกลายเป็นหุ้น Value ไปแล้ว เช่นเดียวกับหุ้น TENCEN ที่ราคาวิ่งขึ้นไป 17% ในเวลาเพียงเดือนเดียวเช่นเดียวกัน 

คำถามที่น่าสนใจก็คือ แล้วหุ้นเทคยักษ์ใหญ่ของโลกที่ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดอยู่ในตลาดหุ้นอเมริกา หรือหุ้น "ยิ่งใหญ่” อื่นๆ ในตลาดหุ้นอื่นเล่า ถึงเวลาหรือยังที่เราจะเข้าไปช้อนซื้อหุ้น และหวังว่ามันจะเริ่มปรับตัวขึ้นไปโดดเด่นแบบที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นจีนในช่วง 1- 2 เดือนที่ผ่านมา 

ลองมาดูกันว่า หุ้นแต่ละตัวน่าสนใจสำหรับจะช้อนซื้อมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่ผมจะดูก็คงคล้ายๆ กับกรณีของหุ้นจีน นั่นคือ ดูว่าหุ้นได้ตกลงมาจากจุดสูงสุดมากน้อยแค่ไหน ธุรกิจแข็งแกร่ง และยังเติบโตมากน้อยแค่ไหน ราคาหุ้นวัดจากค่า P/E เป็นอย่างไร ถ้าหุ้นตกมาแรงมาก ธุรกิจยังแข็งแกร่งและไม่ถดถอยลงในระยะยาว และค่า P/E ต่ำ หรือไม่เกิน 20-30 เท่า ผมคิดว่า การช้อนซื้อลงทุนระยะยาว อาจเป็นสิ่งที่ดี และมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ใช้ได้ อย่างน้อยน่าจะได้ซัก 10% แบบทบต้นในระยะยาวอย่างน้อย 5 ปี ข้างหน้า โดยที่เราจะไม่สนใจเรื่องของเศรษฐกิจและภาวะวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอีก

เริ่มที่ตลาดหุ้นอเมริกา ที่ หุ้น NETFLIX ซึ่งผมคิดว่าหุ้นตกลงมาหนักที่สุดบริษัทหนึ่งคือตกลงมาจากจุดสูงสุดถึงประมาณ 72% จาก เกือบ 700 เหรียญ เหลือ 191 เหรียญ เมื่อ 2-3 วันก่อน ค่า P/E อยู่ที่ 17.3 เท่า ในขณะที่ผมคิดว่าธุรกิจของ NETFLIX นั้น น่าจะยังแข็งแกร่งและแข่งขันได้ทั่วโลก และความต้องการสินค้าหรือบริการของเน็ตฟลิกนั้น น่าจะยังมีอยู่ต่อไปและไม่ลดลงในหลายๆ ปีข้างหน้า

หุ้น META หรือเฟสบุ๊ค ตกลงมาจากจุดสูงสุดที่ประมาณ 379 เหรียญเหลือเพียง 171 เหรียญหรือลดลงประมาณ 55% ในเวลาไม่ถึงปีเช่นเดียวกัน และค่า P/E ก็ลดต่ำลงจนแทบไม่น่าเชื่อเหลือเพียง 12.7 เท่า กลายเป็นหุ้น Value ไปแล้ว ในขณะที่ตัวธุรกิจเองนั้นผมคิดว่าเราคงใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทต่อไปเรื่อยๆ นี่เป็นเรื่องของ Network Effect ที่ลูกค้าไม่ย้ายหรือหนีไปไหนได้ง่ายเพราะเขาต้องการที่จะติดต่อกับคนที่ใช้เครือข่ายสังคมนี้เหมือนกัน

หุ้น AMZN อะมาซอน ตกลงมา38% จาก186 เหลือ116 เหรียญ แต่ราคาหุ้นนั้นยังถือว่าแพงมาก มีค่า P/E 56 เท่า และเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้น บาบา ที่คล้ายๆ กันแต่มีค่า P/E 35 เท่า ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าหุ้นอะมาซอนนั้นน่าซื้อหรือยัง แต่ในความรู้สึกก็คือ หุ้นนี้ยังไม่น่าจะเป็นหุ้น Value ที่เน้นว่าหุ้นต้องถูก

หุ้น GOOG กูเกิล หรือ อัลฟาเบท ซึ่งในความรู้สึกของผมก็คือ เป็นธุรกิจสุดยอดในแง่ของความแข็งแกร่งที่ไม่ค่อยมีตัวเทียบและโอกาสถูกทำลายก็ยากมาก และมันเป็นที่รวมความรู้ของโลกที่ทุกคนต้องใช้ พูดกันถึงขนาดว่าต่อไปเวลาจะเรียนรู้หรืออยากจะรู้อะไรก็ให้ถาม "อากู๋” อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นตกลงมาจาก 2,999 เหรียญ เหลือ 2,371 เหรียญหรือลดลง 21% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าจะไม่มากเมื่อเทียบกับหุ้นเทคอื่น แต่ราคาหุ้นก็ไม่แพงเลย ค่า P/E เท่ากับ 21.4 เท่า พอๆกับหุ้นธรรมดาๆ ในตลาด

หุ้น MSFT หรือไมโครซอฟท์ ถือเป็นหุ้นที่มั่นคงที่สุดในแง่ของเทค เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทุกตัวต้องใช้  ราคาร่วงลงมาจากสูงสุดที่ 26.23 เป็น 20.25 เหรียญ หรือลดลง 23% โดยมีค่า P/E ที่ 26.64 เท่า ซึ่งก็น่าจะเรียกว่าสมเหตุผล และไม่แพง เพราะกิจการคงจะอยู่ไปได้เรื่อยๆ และก็น่าจะยังเติบโตต่อไปอย่างช้าๆ ตามการใช้คอมพิวเตอร์ของโลก

หุ้น AAPL หรือแอปเปิล ตกลงมาจาก 179 เหรียญเป็น 142 เหรียญ หรือลดลง 21% พอๆกับหุ้นกูเกิล และไมโครซอฟท์ ในขณะที่ค่า P/E เท่ากับ 23 เท่า ซึ่งก็ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับเงินสดในบริษัทที่มีมากมาย อย่างไรก็ตาม ผมเองคิดว่ามองไปในอนาคตไกลๆ ความแข็งแกร่งก็ยังน่าจะเป็นรองหุ้นทั้ง 2 ตัวนั้น เพราะมีโอกาสที่เทคโนโลยีมือถือเปลี่ยนมากกว่าเรื่องของซอฟท์แวร์ที่คนจะติดมากกว่า 

หุ้น LVMH หรือหุ้นเจ้าของหลุยส์วิตตอง เป็นหุ้นยิ่งใหญ่ที่ไม่ใช่หุ้นเทคเลย แต่ยิ่งใหญ่ในสายตาของลูกค้าทั่วโลกที่ผมคิดว่าหาคนแข่งยากพอๆ กับหุ้นเทค ราคาหุ้นตกจาก 734 เหรียญเป็น 587 เหรียญหรือลดลง 20% ทั้งๆ ที่ในยามวิกฤติโควิดและรวมถึงเรื่องของเงินเฟ้อนั้น สินค้าของบริษัทก็ยังขายดีมาก คนยังต้องเข้าคิวเพื่อเอาเงินไปจ่ายให้กับร้าน ราคาหุ้นล่าสุดเองก็ไม่แพง ค่า P/E อยู่ที่ 24.6 เท่า

ทั้งหมดนั้น ผมไม่ได้ชวนให้นักลงทุนซื้อหุ้น ผมเองก็ยังไม่ได้ซื้อเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคิดว่าตนเองอาจจะเก่งไม่พอในการวิเคราะห์ เทียบกับคนอื่นในตลาดที่มักเป็นมืออาชีพที่มักจะเรียนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก และทุ่มเทเวลา 100% ในการศึกษาติดตาม อย่างไรก็ตาม ผมก็คิดว่าในยามที่เกิดวิกฤติ คนมักจะกลัวและไม่อยากจะซื้อหุ้นลงทุนในยามนี้ซึ่งอาจจะทำให้หุ้นมีราคาถูกกว่าปกติ

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมเองก็ยังมีหุ้นในตลาดหุ้นเวียดนามที่ผมเห็นว่าก็มีโอกาสที่จะเลือกหุ้นที่ "ยิ่งใหญ่ในเวียดนาม” และทำเงินได้ดีในอนาคตอยู่แล้ว

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้