1475 จำนวนผู้เข้าชม |
"กระแส" ของเหรียญคริปโตที่อ้างว่าจะกลายเป็นเงินดิจิทัลใน "โลกแห่งอนาคต” ซึ่งรวมถึง "เมตาเวอร์ส” ที่เป็น "โลกเสมือน” ที่คนอาจเข้าไปใช้ชีวิตอีกครึ่งหนึ่ง นอกเหนือจากการใช้ชีวิตใน "โลกความเป็นจริง” ที่เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว และพัดแรงขนาดที่ทำให้โลกการเงินและการลงทุนปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน คนจำนวนเป็นล้านล้านคนโดยเฉพาะที่เป็น "คนรุ่นใหม่” แทบทั้งโลกต่างก็เข้ามาลงทุน และเกี่ยวข้องในนวัตกรรมใหม่อันนี้ ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนที่กำลัง "ปฏิวัติโลก" ในแทบทุกด้าน ซึ่งรวมถึงงานศิลปะที่เรียกว่าเหรียญ "NFT” เพื่อขายให้กับคนที่สนใจงานศิลป์ หรือการผลิต "ที่ดินเสมือน" ขึ้นมาเพื่อขายให้กับ "นักเล่นที่” ซึ่งอาจอยากซื้อเพื่อเก็งกำไรหรือลงทุน "ทำธุรกิจ” ที่ต้องการ "หน้าร้านเสมือน” ไว้ขายของ
กระแสของเหรียญคริปโตนั้น ดูเหมือนว่าจะมาตามการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 ที่ทำให้คนทั้งโลกต้องถูก "กักอยู่ในบ้าน” และต้องทำงานและใช้ชีวิตผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก ซึ่งก็ทำให้มีเวลาเหลือที่จะลงทุนเงินที่อาจจะได้รับจากรัฐบาลหรือเงินเก็บที่แทบจะไม่มีดอกเบี้ย และคนก็อาจจะเริ่มเห็นว่าเหรียญคริปโตนั้นปรับตัวขึ้นเร็วมากเนื่องจากมันมีจำนวนจำกัด และเมื่อราคาขึ้นไปก็ส่งผลให้คนใหม่เข้าไปลงทุนและดันราคาขึ้นไปอีก ถึงจุดหนึ่ง เหรียญที่เป็นที่นิยม เช่น บิทคอยน์ ก็ถูก "Corner” ราคาขึ้นจากประมาณ 9,000-10,000 ดอลลาร์ กลายเป็น 3-40,000 เหรียญ ในเวลาเพียง 2-3 เดือน และหลังจากนั้นที่ อีลอน มัสก์ เข้ามาร่วม “เล่น” ราคาก็ขึ้นไปถึง 60,000 เหรียญ ในเวลาเพียง 5-6 เดือน
หลังจากนั้น "สตอรี่” หรือเรื่องราวที่มาสนับสนุนราคาบิทคอยน์ หรือเหรียญคริปโต ก็ตามมา รวมถึงการประกาศการสร้าง "เมตาเวอร์ส” ของมาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น เหรียญ NFT เกิดขึ้น แพล็ทฟอร์มการซื้อขายทรัพย์สินดิจิทัลเกิดขึ้นทั่วไปในหลาย ๆ ประเทศ ทุกอย่างกลายเป็นทรัพย์สินและธุรกิจที่มีค่ามหาศาล สตาร์ทอัพจำนวนมากกลายเป็น "ยูนิคอร์น” คือ มีมูลค่าตลาดของกิจการเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ กว่า 30,000 ล้านบาท "ฮีโร่” ที่มักจะอายุน้อย และมีความมั่งคั่งเป็นหมื่น หรือเป็นแสนล้านบาทเกิดขึ้น พวกเขาเป็น "ไอดอล” ที่ไม่มีวันตกแน่นอน อนาคตยังไปอีกยาวไกล
เวลาผ่านไป 2 ปี พร้อมๆ กับโควิดที่เริ่มจางหายไป และตามมาด้วยสงครามรัสเซีย - ยูเครน สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เม็ดเงินทั่วโลกกำลังจะลดลง ซึ่งนั่นทำให้การเก็งกำไรที่ "บ้าคลั่ง” ลดลงมาก ราคาของสินทรัพย์ที่เคยสูงลิ่ว เพราะการเก็งกำไรตกลงมาอย่างหนัก หุ้น โดยเฉพาะในกลุ่มดิจิทัล ตกลงมาแรงกว่า 30% กลายเป็นวิกฤติตลาดหุ้น และแน่นอนว่าเหรียญคริปโตก็หนีไม่พ้นเช่นกัน
การตกลงมาของเหรียญเหล่านั้นสูงยิ่งกว่าหุ้นมาก เหตุผล หรือ "สตอรี่" ก็คือ ทรัพย์สินดิจิทัลเหล่านั้น "ไม่มีพื้นฐาน" รองรับ มันมีค่าเพราะมีคนต้องการซื้อมัน ถ้าไม่มีคนต้องการ ค่าของมัน ก็คือ "ศูนย์” เพราะมันไม่มีการจ่ายปันผล
บิทคอยน์ที่เป็น "เสาหลัก” ของเหรียญคริปโต ตกลงไปจากจุดสูงสุดกว่า 60,000 เหรียญ เมื่อ 8 เดือนก่อน เหลือเพียงประมาณ 19,200 เหรียญ หรือตกลงไป 70% เหรียญอีเธอร์เรียม ที่จะเป็นเหรียญที่นำมาใช้ได้มากมาย และเป็นฐานของเหรียญอื่น ตกจาก 4,650 เหลือ 1,045 ดอลลาร์ หรือตกลงมา 78%
ในเวลาเดียวกัน เหรียญเทอร่าและลูน่า ซึ่งถูกออกแบบให้มีราคาเท่าๆ กับเงินดอลลาร์ตลอดเวลา ที่เรียกว่า Stable Coin นั้น ราคาทรุดลงมาแทบจะเป็นศูนย์เหรียญ เหรียญ "สุนัข” ด็อกคอยน์ ที่อีลอน มัสก์เชียร์ตกลงมาประมาณ 90% เหลือ 0.064 เหรียญ และนี่ก็คือเหรียญที่ไม่ได้ใช้ทำอะไรนอกจากเก็บสะสมไว้เล่นๆ และเอาไว้เก็งกำไร
นอกจากราคาที่ตกอย่างหนักแล้ว ความ "ล่มสลาย” ของกิจการ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินดิจิทัลก็เริ่มผุดขึ้นมากมาย เข้าทำนอง "น้ำลดตอผุด” หรือที่บัฟเฟตต์ หรือเซียนหุ้นคนอื่นพูดว่า It’s only when the tide goes out that you learn who’s been swimming naked ความหมายคือ "เฉพาะเมื่อกระแสน้ำลดลงหมดเท่านั้นที่เราจะรู้ว่าใครแก้ผ้าว่ายน้ำ"
เริ่มตั้งแต่แพลทฟอร์มซื้อขายเหรียญคริปโตของแคนาดาชื่อ Quadriga ที่ "โกงลูกค้า” โดยการรับและจ่ายเงินการซื้อขายเหรียญเข้าบริษัทฯ โดยไม่ได้ซื้อขายจริง แต่ทำตัวเป็นแบบแชร์ลูกโซ่ สุดท้ายก็ล้ม และเจ้าของซึ่งเป็นคนหนุ่มที่เป็น "ไอดอล” ของคนหนุ่มสาว ไปเสียชีวิตที่อินเดีย "อย่างมีเงื่อนงำ” และรหัสการเข้าไปในระบบของแพลทฟอร์มซึ่งมีเขาคนเดียวที่รู้หายไป ดังนั้น เงินของลูกค้าทุกคนก็กลายเป็นศูนย์ และนี่ก็เป็นหนังสารคดีที่ผมเพิ่งดูใน NETFLIX และเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่บิทคอยน์จะบูมด้วยซ้ำ
ยังมีเรื่องราวการโกง และการล่มสลายอีกมากมายที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ที่เขียนไม่หมด แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่า ก็คือ สตอรี่ที่พูดกันว่าเหรียญคริปโตต่างๆ จะเปลี่ยนโลก คนจะหันมาซื้องานศิลปะแบบ NFT หรือเรื่องราวอื่นๆ อีกมากที่ผมคิดว่า "เวอร์" เกินความเป็นจริง เพราะในโลกของดิจิทัลนั้น อะไรก็ตามถ้ามันเป็นเรื่องจริง การเกิดขึ้นจะรวดเร็วมาก
ตัวอย่างเช่น พวกสื่อสังคมที่กระจายตัวเร็วมาก หลังจากที่เกิดนวัตกรรมขึ้นมา แต่ในกรณีของเหรียญคริปโตนั้น ที่จริงนวัตกรรมก็เกิดขึ้นนานเป็นสิบๆ ปีแล้ว แต่การใช้จริงๆ ทุกวันนี้ผมก็ยังแทบไม่เห็น คุณบอกได้ไหมว่า มีร้านไหนในประเทศไทยรับเหรียญคริปโต? ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า กระแสและการปรับตัวขึ้นของคริปโตในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น อาจเป็นเรื่องของการเก็งกำไรที่สุดโต่งในสังคม และเวลานี้กำลังเป็นช่วง "อวสาน” ที่ราคาอาจจะตกลงต่อ หรือไม่กลับมาอีกนาน พร้อมๆ กับความสนใจในเรื่องเหล่านี้ที่จะค่อยๆ จางหายไป
แน่นอนว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนก็ยังอยู่และมีประโยชน์ แต่คนจะใช้ในการแก้ปัญหาบางอย่างที่เหมาะสมเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องเงิน หรือเรื่องของศิลปะที่ของเดิมก็ดีพออยู่แล้ว