JR ลุยประมูลงานใหม่ 7 พันล้านบาท หวัง backlog ทะลุ 1 หมื่นล้านบาท

1430 จำนวนผู้เข้าชม  | 

JR ลุยประมูลงานใหม่ 7 พันล้านบาท หวัง backlog ทะลุ 1 หมื่นล้านบาท

นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจ อาร์ ดับเบิ้ลยู ยูทิลิตี้ (JR) บอกว่า ในครึ่งหลังปีนี้ บริษัทฯ เตรียมเข้าประมูลงานโครงการใหม่ ที่จะมีการเปิดประมูลกว่า 7 พันล้านบาท ประกอบด้วย โครงการเปลี่ยนสายไฟฟ้าลงใต้ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู เฟส 2 มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท โครงการรื้อย้ายและสร้างใหม่ระบบโทรคมนาคมของรถไฟฟ้าสายอื่นๆ อีก 500-600 ล้านบาท ที่เหลือเป็นโครงการติดตั้งวางระบบอุปกรณ์สถานีไฟฟ้าย่อย (Substation) ซึ่งเชื่อว่า การที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในงานวางระบบ จะทำให้ได้รับการคัดเลือก โดยหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน จะทำให้งานในมือรอรับรู้รายได้ (backlog) ทั้งปีทะลุ 1 หมื่นล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องถึงปี 2568

เขายังให้ข้อมูลด้วยว่า แนวโน้มผลดำเนินงานปีนี้น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จาก backlog เดิมที่มีอยู่ราว 4,100 ล้านบาท หนุนด้วยการได้งานโครงการใหม่เพิ่มเติมรองรับรายได้ในอนาคต ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นบริหารจัดการต้นทุนเพื่อควบคุมอัตรากำไรขั้นต้นให้เป็นเลขสองหลัก ช่วยสนับสนุนผลงานอีกทางหนึ่ง  

สำหรับการย้ายกลุ่มซื้อขายจากกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หมวดธุรกิจเทคโนโลยีและการสื่อสาร มาซื้อขายในกลุ่มทรัพยากร หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้หุ้นได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้น จนมีสัดส่วนการถือครองเพิ่มเป็น 3% ถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ

สำหรับความเห็นนักวิเคราะห์ เบื้องต้น ค่ายเอเซียพลัส (ASPS) ระบุว่า แม้งานเปลี่ยนสายไฟฟ้าใต้ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู เฟส 2 จะล่าช้ากว่าแผนเดิมไปบ้าง แต่ไม่ได้กระทบกําไรปีนี้ จึงยังคงให้น้ำหนักกําไรที่จะทยอยฟื้นตัวรายไตรมาส รับการที่บริษัทฯ เร่งส่งมอบงานมากขึ้น ยิ่งราคาหุ้นล่าสุดพักฐานมาระยะหนี่ง จึงทำให้ Upside เปิดกว้างราว 20% จากมูลค่าพื้นฐานปีนี้ ที่ 8.40 บาท อิง PER 22 เท่า จึงแนะนํา "ซื้อ”

ด้านฟินันเซีย ไซรัส (FSS) บอกว่า การที่งานในมือบางส่วนล่าช้ากว่าแผนมาตั้งแต่ปลายปีก่อน ประกอบกับงานประมูลใหม่ถูกเลื่อนจากไตรมาส 2 เป็นครึ่งหลังของปี ทำให้ต้องปรับประมาณการกำไรปีนี้ลงจากประมาณการเดิมที่ 362 ล้านบาท เหลือ 296 ล้านบาท (แต่ยังเติบโต 36.6% จากปีก่อน (YoY) ทำจุดสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง) ส่งผลให้ต้องปรับลดราคาเป้าหมายลงจาก 10 บาท เหลือ 8 บาท อิง PER 20 เท่า ตามมา

อย่างไรก็ตาม การที่ราคาหุ้นปรับตัวลงจากจุดสูงสุดช่วงต้นปี ราว 18% สะท้อนกำไรระยะสั้นที่เร่งตัวช้ากว่าคาดการณ์เดิมไปแล้ว ขณะที่โมเมนตัมช่วงที่เหลือของปีที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้น และยังได้อานิสงส์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าและสื่อสารฯของประเทศในระยะยาวช่วยผลักดันรายได้อีก จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ”

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้