1503 จำนวนผู้เข้าชม |
แรงกดดันจากเงินเฟ้อ และความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในจังหวะเวลาที่สภาพคล่องในตลาดการเงินโลกเริ่มเหือดหายลงไป ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานกันถ้วนหน้า จนระดับราคาหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีน่าสนใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหุ้นคุณค่า (Value Stock) ซึ่งมีความสามารถทนทานต่อสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นได้ดีกว่าตลาดโดยรวม และมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด ทำให้ บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) เล็งเห็นโอกาสทางการลงทุนที่เปิดกว้าง จึงเตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Value Equity (SCBGVALUE) ชนิดสะสมมูลค่า SCBGVALUE(A) และชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ SCBGVALUE(E) ระหว่างวันที่ 19 – 25 กรกฎาคมนี้ โดยมีเงื่อนไขการลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท
ทั้งนี้ กองทุน SCBGVALUE ทั้ง 2 ชนิดจะมีการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) ได้แก่ กองทุน iShares Edge MSCI World Value Factor UCITS ETF สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชี 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAVs) ของกองทุนรวม
และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน รวมถึงป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินในสกุลเงินต่างประเทศ ที่กองทุนถืออยู่ เทียบกับสกุลเงินบาทไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ ทาง SCBAM อาจมีการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพิ่มเติม
สำหรับนโยบายการลงทุน กองทุนหลัก (iShares Edge MSCI World Value Factor UCITS ETF) จะเน้นลงทุนตราสารทุนที่เป็นส่วนประกอบของ MSCI World Enhanced Value Index ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงของกองทุน โดยใช้เทคนิคลงทุนแบบ optimization เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง ที่คาดว่าจะสะท้อนผลการดำเนินงานของหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของ MSCI World Index หรือตัวแทนหลักทรัพย์ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยปัจจัยด้านมูลค่า (Value Factor) พิจารณาจาก 3 ตัวชี้วัดที่ถ่วงน้ำหนักอย่างเท่าเทียมกัน ได้แก่ เปรียบเทียบราคาของตราสารทุนกับประมาณการรายได้ในอนาคต ราคาหลักทรัพย์ที่สัมพันธ์กับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท และมูลค่าของบริษัทที่สัมพันธ์กับกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ภายใต้การบริหารจัดการโดย BlackRock Asset Management Ireland Limited ที่มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management) ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนย้อนหลัง 3 ปี และ 5 ปี อ้างอิงถึงรอบบัญชีครึ่งแรกปีนี้อยู่ที่ 3%