ฟันธง แนวโน้มธุรกิจของ SCGP ครึ่งปีหลังสดใสขึ้นจากครึ่งปีแรก ธุรกิจผ่านจุดต่ำสุดแล้ว

1667 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ฟันธง แนวโน้มธุรกิจของ SCGP ครึ่งปีหลังสดใสขึ้นจากครึ่งปีแรก ธุรกิจผ่านจุดต่ำสุดแล้ว

หลังจากนายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยผลดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกปีนี้ สรุปได้ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 74,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) เพราะยอดขายมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกสายธุรกิจ และยังได้แรงหนุนจากความต้องการบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์อาหารที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการรวมผลดำเนินงานของ Duy Tan, Intan Group และ Deltalab เข้ามาในงบการเงินด้วย อย่างไรก็ตาม การที่ต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานเพิ่มสูงขึ้น สร้างแรงกดดันให้กำไรสุทธิลดลง 20% YoY มาอยู่ที่ 3,514 ล้านบาท

สำหรับผลดำเนินงานไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 37,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสแรก (QoQ) และเพิ่มขึ้น 27% YoY ขณะที่กำไรอยู่ที่ 1,856 ล้านบาท ลดลง 18% YoY แต่เพิ่มขึ้น 11% QoQ  


โอกาสนี้ ผู้บริหาร SCGP กล่าวถึงทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังด้วยว่า พร้อมสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายรวมทั้งปี 150,000 ล้านบาท โดยจะพิจารณาการดำเนินธุรกิจและการลงทุนด้วยความรอบคอบและเหมาะสม ภายใต้งบลงทุนรวมทั้งปี 20,000 ล้านบาท ทั้งเพื่อปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต เพื่อขยายกำลังการผลิต และสร้างการเติบโตร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ (Merger and Partnership : M&P) ซึ่งในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงทุนโครงการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกเพื่อรองรับความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในประเทศเพิ่มอีกปีละ 75,000 ตัน

และล่าสุด บริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ (Packaging Materials Recycling Business) ในเพอเธ่ (Peute) ของฮอลแลนด์ รวมถึงเข้าไปร่วมลงทุนใน Imprint Energy ของสหรัฐฯ ที่ทำธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ด้วยการพิมพ์ (Printed Battery) ผ่านการซื้อหุ้นในสัดส่วน 3.3% คิดเป็นมูลค่า 105 ล้านบาท เพราะเล็งเห็นว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโต สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ และนำเอาความรู้ความเชี่ยวชาญมาขยายสู่ภูมิภาคอาเซียนได้ในอนาคตอีกด้วย

พร้อมกันนี้ SCGP ยังได้แจ้งจ่ายปันผลสำหรับงวดบัญชีครึ่งปีแรก ในอัตราหุ้นละ 25 สตางค์ ด้วย โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 8 สิงหาคมนี้ ก่อนจ่ายจริงวันที่ 24 สิงหาคม

คำอธิบายเรื่องงบการเงิน พร้อมกับชี้แจงแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลัง ถูกนักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายสำนัก ถอดรหัสว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเห็นธุรกิจของ SCGP ในครึ่งปีหลังน่าจะสดใสขึ้นจากครึ่งปีแรก

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากไพ (PI) ให้เหตุผลว่า กำไรปกติไตรมาส 2 สอดคล้องกับที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.9 พันล้านบาท (-9% YoY, +11% QoQ) หนุนโดยอัตรากำไรจากธุรกิจเยื่อและกระดาษที่แข็งแกร่งขึ้น ตามราคาเยื่อกระดาษในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้้น ผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 17.6% ส่วนกำไรที่ลดลง YoY เป็นผลจากอัตรากำไรในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ลดลง YoY จากต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่สูงขึ้น ซ้ำเติมประเด็นการล็อกดาวน์ในจีน ที่สำคัญ ผลดำเนินงานไตรมาส 2 ยังช่วยตอกย้ำความมั่นใจด้วยว่า กำไรของบริษัทฯ ได้ผ่านจุดต่ำสุดที่เกิดในไตรมาสแรกไปแล้ว

ดังนั้น อยากแนะนำให้นักลงทุนเข้าสะสมหุ้นก่อนที่ภาพรวมธุรกิจจะสดใสยิ่งขึ้นในครึ่งปีหลัง ด้วยแรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจหลัก อุปสงค์ที่ดีขึ้นทั้งตลาดในและต่างประเทศ รวมถึงโอกาสในการทำดีล M&P ในอนาคต แนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าพื้นฐาน 66 บาท อิง P/E ปีนี้ที่ 30.8 เท่า ใกล้เคียง -1SD ต่อค่าเฉลี่ย 3 ปี

ส่วนไซรัส (FSS) เชื่อว่า กำไรสุทธิของ SCGP จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป จากปัจจัยขับเคลื่อนหลายประการ ทั้งการมีประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น การขยายกำลังการผลิต และการรวมผลดำเนินงานจากกลยุทธ์ M&P การฟื้นตัวของอุปสงค์รับการกลับมาเปิดเศรษฐกิจ หนุนด้วยการที่ต้นทุนกระดาษลูกฟูกมือสองที่ลดลง อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้น น่าจะบั่นทอน EBITDA margin ของ SCGP ลดลงราว 0.5-1%  จึงแนะ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 67 บาท คิดเป็น 16.1 เท่าของค่า EV/EBITDA ปีหน้า

ขณะที่เอเซีย พลัส (ASPS) บอกว่า แม้แนวโน้มผลดำเนินงาน SCGP ครึ่งปีหลังจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก เพราะสามารถส่งผ่านต้นทุนไปสู่ราคาขายที่ทำได้มากขึ้น แต่เนี่องจากฝ่ายวิจัยได้ทำประมาณการกำไรเดิมสูงเกินไป หลักๆ เป็นการปรับอัตรากำไรลง จึงต้องปรับลดคาดการณ์กำไรปี 2565-66 ลงจากเดิม 12% และ 9% ตามลำดับ ทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ อยู่ที่ 7,944 ล้านบาท ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 9,043 ล้านบาท ขณะที่คาดการณ์กำไรสุทธิปีหน้า อยู่ที่ 9,349ล้านบาท ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 10,251 ล้านบาท

หลังปรับลดประมาณการ ทำให้การประเมินราคาเหมาะสมภายใต้วิธี DCF ปรับลดลงจากเดิมที่ 65.00 บาท ลงมาเล็กน้อย เหลือ 61.50 บาท เทียบเท่า PER 33 เท่า พร้อมกับคงแนะนำ “ซื้อ” เพราะมองว่าแผนการลงทุนเชิงรุกของ SCGP ทั้งแบบ Brown field และดีล M&P จะทำให้ทิศทางกำไรในอนาคตยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาเหมาะสมสามารถขยับขึ้นได้ปีละ 5-7% ตลอด 3 ปีข้างหน้า

เหตุผลหนึ่ง คือ การลงทุนช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างฐานการผลิตใหม่ของโรงกระดาษของ Vina Kraft Paper ที่เวียดนามเหนือ หรือการลงทุนใน Peute ที่ทำธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ ครอบคลุมทั้งกระดาษรีไซเคิล และพลาสติกรีไซเคิล ถือเป็นการทำ Backward Integration ไปสู่ธุรกิจต้นน้ำ ที่จะช่วยเติมเต็มการเติบโตทั้งแนวลึกและแนวกว้าง (T-Model) ของ SCGP ให้สมบูรณ์มากขึ้น เพราะ Peute สามารถจัดหาพลาสติกรีไซเคิลอีกปีละ 0.1 ล้านตัน และวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลปีละ 1 ล้านตัน ซึ่งวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลปีละ 1 ล้านตัน คิดเป็น 50% ของปริมาณนำเข้าทั้งหมดของบริษัทฯ และน่าจะมีส่วนช่วยผลักดันให้เป้ารายได้ 1.9 แสนล้านบาท ในปี 2568 ตามที่บริษัทฯ ตั้งเอาไว้ มีความเป็นไปได้สูงขึ้น

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้