1416 จำนวนผู้เข้าชม |
นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) บอกว่า เมื่อย้อนดูสถิติย้อนหลัง ธนาคารและพันธมิตร อย่างกลุ่มแบล็คร็อค พบว่า ในจังหวะเวลาที่เศรษฐกิจและตลาดการเงินมีความผันผวน จากผลกระทบของนโยบายการปรับดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกจะให้ผลตอบแทนผันผวนน้อยกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะหุ้น อีกทั้งมีค่าความสัมพันธ์ (Correlation) ต่ำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์แบบเดิม ทำให้การเติมสินทรัพย์ทางเลือกเข้ามาในพอร์ตลงทุน จะมีโอกาสลดความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนได้เพิ่มขึ้น ดังนั้นธนาคารจึงร่วมมือกับ บลจ.กรุงศรี (KSAM) จึงพัฒนากองทุนที่จะช่วยให้นักลงทุนรายใหญ่พิเศษสามารถเข้าถึงการลงทุน ผ่าน Private Equity คุณภาพสูง ชื่อ “กรุงศรีไพรเวทแคปปิตอลระยะยาว” (KFLTPC-UI) เพื่อเป็นตัวเลือกในการบริหารเงิน
ทั้งนี้ กองทุน “กรุงศรีไพรเวทแคปปิตอลระยะยาว” จะลงทุนผ่าน BlackRock Long Term Private Capital, SCSp ซึ่งเป็นกองทุนหลักของพันธมิตรระดับโลก ที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหาร Private Equity มาอย่างยาวนาน ซึ่งกองทุนดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนนับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2562 ได้สูงถึง 1.52 เท่าของเงินลงทุน แม้แต่ปีนี้ ซึ่งตลาดการเงินมีความผันผวนสูง กองทุนยังทำผลตอบแทนไตรมาสแรก ติดลบเพียง -0.53% ซึ่งดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ด้านนางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงศรี (KSAM) เปิดเผยว่า KFLTPC-UI มีเป้าหมายสร้างการเติบโตของเงินลงทุน ผ่านการคัดเลือกบริษัทที่มีคุณภาพสูง มูลค่าระหว่าง 500-2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ โดยจะใช้กลยุทธ์การลงทุนโดยตรง และเข้าไปมีอำนาจควบคุมหรือร่วมควบคุมในโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทในฐานะ “Active owner” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและสร้างมูลค่าของธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น โดยทีมงานของแบล็คร็อคจะใช้ความเชี่ยวชาญและชำนาญทำการค้นหาบริษัท วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกก่อนการลงทุน และหลังจากเข้าลงทุนแล้ว จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหาร พร้อมกับหาแนวทางสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ ที่ลงทุน โดยอาศัยเครือข่ายพันธมิตรจากหลากหลายอุตสาหกรรมช่วยให้คำปรึกษากับทีมผู้บริหารของบริษัทที่ลงทุนต่อไป
สำหรับพอร์ตเป้าหมายของกองทุน คือการลงทุนใน 10-15 บริษัท ที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรม Consumer, Financial Services, Technology, Media and Telecom, Healthcare, Industrials และ Business Services เน้นที่อเมริกาและยุโรปเป็นหลัก
ทั้งนี้ กองทุน Private Equity เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม ถึงวันที่ 8 สิงหาคม โดยกำหนดเงินลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 1 ล้านบาท สำหรับการลงทุนครั้งต่อไป กำหนดวงเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 500 บาท แต่การลงทุนจะทำได้ไตรมาสละครั้งเท่านั้น