1856 จำนวนผู้เข้าชม |
ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่พุ่งสูงขึ้น สินทรัพย์ดั้งเดิมที่เคยมี ไม่อาจสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้ นักลงทุนจึงต้องแสวงหาโอกาสในการลงทุนรูปแบบใหม่ เพื่อเพิ่มทางเลือก กระจายความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Assets) จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่กลายเป็นทางรอดให้กับนักลงทุนทั่วโลก ด้วยกลยุทธ์การบริหารการลงทุนที่ มีความยืดหยุ่นสูง ไปจนถึงราคาของสินทรัพย์ นอกตลาดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของตลาดทุน จึงสะท้อนปัจจัยพื้นฐานของแต่ละสินทรัพย์อย่างแท้จริง
KBank Private Banking ในฐานะผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและการบริหารความมั่งคั่ง จึงเล็งเห็นถึงศักยภาพการลงทุนที่เติบโตนี้ และได้แนะนำให้กับลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2564 เพื่อเสริมแกร่งพอร์ตการลงทุนแม้ในยามตลาดผันผวน
โดยสินทรัพย์ทางเลือกที่ KBank Private Banking แนะนำ จะมี 5 ประเภทด้วยกัน แบ่งเป็นสินทรัพย์นอกตลาด 3 ประเภท และสินทรัพย์ในตลาดที่มีความยืดหยุ่นในการกลยุทธ์การลงทุนอีก 2 ประเภท ดังนี้
1. Private Equity
กองทุนหุ้นนอกตลาดที่ไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เน้นลงทุนในบริษัทที่กำลังระดมทุน เพื่อขยายกิจการและมีศักยภาพในการเติบโตสูง เนื่องจากราคาของหุ้นนอกตลาดไม่มีราคารายวันที่เคลื่อนไหวตามความตื่นตระหนกของตลาดทุนตามปกติ รวมถึงผลตอบแทนที่เกิดขึ้นก็สะท้อนจากปัจจัยพื้นฐานจริงๆ ของบริษัทที่ลงทุนอยู่ จึงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี ขณะที่ความผันผวนทางด้านราคาระยะสั้น ช่วงตลาดตื่นตระหนกก็ต่ำกว่า อย่างไรก็ดี การลงทุนจะต้องแลกมาด้วยระยะเวลาการลงทุนยาว อย่างน้อย 7-9 ปี
2. Private Debt
เปรียบเสมือนการกู้ยืมเงินกันนอกตลาดทุน ซึ่งเป็นการระดมทุนทางเลือกสำหรับบริษัทที่ต้องการต่อยอดธุรกิจ แต่อาจจะไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนตามปกติ เช่น การกู้ยืมจากธนาคาร หรือบริษัทที่ต้องการความรวดเร็วในการระดมทุน ทำให่้การลงทุนจะได้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมดอกเบี้ยขาขึ้นในปัจจุบัน จึงมีความน่าสนใจมากขึ้น แต่ก็ต้องแลกกับความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่ต่ำกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้เอกชนทั่วไป ที่สามารถซื้อขายต่อได้ในตลาดทุน สินทรัพย์ประเภทนี้จึงเหมาะกั บนักลงทุนที่สามารถลงทุนระยะยาวอย่างน้อย 5-7 ปี
3. Private Real Estate
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่น อาคารสำนักงาน ไฟฟ้า และโทรคมนาคม สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดที่มีความผันผวนได้เช่นกัน โดยอสังหาริมทรัพย์ที่มีอัตราการเช่าสูง จะช่วยให้การลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนในรูปแบบค่าเช่าที่สม่ำเสมอ เหมาะกับภาวะการลงทุนช่วงนี้ ที่นักลงทุนจะให้ความสำตัญกับการได้รับกระแสเงินสดที่มั่นคง และสม่ำเสมอ ซึ่งจะต่้องลงทุนระยะยาว 3 ปีขึ้นไป
4. Quantitative Hedge Fund
กองทุนทางเลือกที่กลยุทธ์ที่การลงทุนยืดหยุ่นมาก ส่วนมากจะต้องเชื่อฝีมือผู้จัดการกองทุนเป็นหลัก เพราะมีเป้าหมายในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนเป็นบวกตลอดเวลาไม่ว่าสถานการณ์ของตลาดจะเป็นเช่นไร โดยกองทุนสามารถลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท และมักมีการใช้กลยุทธ์ขายชอร์ต (Short) ที่สามารถทำกำไรได้ในตลาดขาลง ด้วยการยืมสินทรัพย์มาขายก่อน แล้วไปซื้อสินทรัพย์คืนกลับในภายหลัง ในราคาที่ต่ำลง หรือการใช้ตราสารอนุพันธ์ ในการเพิ่มอัตราทดเหมือนกับการการยืมเงินมาลงทุน (Leverage) รวมถึงใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อนด้วยกระบวนการทางคณิตศาสตร์และสถิติ จากข้อมูลเชิงปริมาณ โดยรวมจึงเปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มมิติให้กับพอร์ตลงทุน ทั้งในด้านการเพิ่มผลตอบแทน และการกระจายความเสี่ยง
5. Structured Note
หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง คือ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ผสมผสานคุณสมบัติของหุ้นกู้ และตราสารอนุพันธ์ด้วยกลไกการลงทุนที่อ้างอิงกับราคาสินทรัพย์ หรือปัจจัยที่เกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดในหลากหลายรูปแบบ เช่น ดัชนีหุ้น และอัตราแลกเปลี่ยน โดยผลิตภัณฑ์ที่นิยมกันในหมู่นักลงทุนไทย คือ หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงแบบ Knock-In Knock-Out หรือ KIKO ที่สามารถเลือกอ้างอิงผลตอบแทนได้ทั้งตะกร้าหุ้นไทย หรือหุ้นต่างประเทศ ซึ่งจะให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ และสามารถให้ผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ยรายเดือนที่สม่ำเสมอได้
ทั้งนี้ การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ควรลงทุนในสัดส่วนไม่เกิน 10% ของพอร์ตลงทุนทั้งหมด เพราะจุดประสงค์หลักมีไว้เพื่อกระจายความเสี่ยง และการสร้างผลตอบแทนต้องใช้เวลานานเกิน 3 ปี ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา KBank Private Banking สามารถสร้างผลตอบแทนจาการลงทุนผ่านสสินทรัพย๋์ทางเลือกเหล่านี้ได้ราว 11-19%