2075 จำนวนผู้เข้าชม |
ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์กสิกรไทย (KS) เปิดเผยผลการตรวจสอบหุ้นที่มีการทำบทวิเคราะห์หลังจากประกาศงบการเงินไตรมาส 2 สรุปได้ว่า หุ้นที่ศึกษามีกำไรรวม 2.98 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.1% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และ 31.4% จากไตรมาส 2 ปีก่อน (YoY) และสูงกว่าประมาณการของตลาด 9.6% โดยกลุ่มธุรกิจเกษตรและอาหาร พลังงาน ปิโตรเคมี ธนาคาร อิเล็กทรอนิกส์ การแพทย์ เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) นิคมอุตสาหกรรม และที่อยู่อาศัย รายงานกำไรไตรมาส 2 ดีกว่าคาด ในทางกลับกัน กลุ่มธุรกิจที่รายงานกำไรไตรมาส 2 ต่ำกว่าประมาณการ ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ รับเหมาก่อสร้าง ขนส่ง และสาธารณูปโภค
สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลัง คาดว่ากลุ่มธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ อย่างกลุ่มสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โรงกลั่น ขนส่งสินค้าเทกอง และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร จะรายงานกำไรอ่อนแอลง จากราคาพลังงานที่ลดลง อัตรากำไรจากการกลั่น และราคาสินค้าเกษตรที่ลดลง ตามอุปสงค์ที่ลดลงสวนทางอุปทานที่เพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ได้แก่ กลุ่ม Anti-Commodities กลุ่มเติบโต (Growth) และกลุ่มปลอดภัย (Defensive) กับกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ ทั้งการแพทย์ พาณิชย์ ท่องเที่ยว และขนส่ง น่าจะรายงานกำไรงวดครึ่งปีหลังดีขึ้น
KS ระบุว่า กลุ่มค้าปลีกน้ำมัน (PTG และ OR) จะรายงานกำไรไตรมาส 3 ดีขึ้น YoY จากค่าการตลาดที่สูงขึ้น และปริมาณการเติมน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เมื่อราคาน้ำมันลดลง ส่วนกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (EPG และ TOA) น่าจะรายงานกำไรดีขึ้น รับอานิสงค์ของการปรับขึ้นราคาขาย และต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง เช่นเดียวกับกลุ่มสาธารณูปโภค ที่จะรายงานกำไรดีขึ้นจากค่า Ft ที่สูงขึ้น และเงินบาทแข็งค่าขึ้น
สำหรับกลุ่มโรงแรม น่าจะรายงานกำไรในครึ่งปีหลังที่ดีขึ้น จากอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR) และอัตราการเข้าพัก (OCR) ที่แข็งแกร่ง ขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อรายได้รวมลดลง คล้ายกับกลุ่มสายการบิน ที่คาดจะรายงานผลขาดทุนลดลงจากครึ่งปีแรก จากจำนวนผู้โดยสารและราคาตั๋วที่เพิ่มขึ้น หนุนด้วยราคาน้ำมันอากาศยานลดลง ส่วนกลุ่มโรงพยาบาลและคลินิกที่มีฐานผู้ป่วยเป็นชาวต่างชาติ (BH BDMS D และ PR9) จะมีกำไรแข็งแกร่งขึ้น จาก pent-up demand เช่นเดียวกับกลุ่มพาณิชย์ ที่คาดจะรายงานผลประกอบการแข็งแกร่งขึ้น รับเศรษฐกิจฟี้นตัว และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลง
ด้านกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย คาดว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์จะรายงานกำไรครึ่งปีหลังดีขึ้น ทั้งจากการเติบโตของสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น ขณะที่กลุ่มการเงิน (Finance) กำไรดูจะคละกันจากกำไรจากการดำเนินงานก่อนตั้งสำรอง (PPOP) ที่ดีขึ้น ตามการเติบโตของสินเชื่อ แต่ถูกชดเชยด้วยค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) ที่สูงขึ้นเพื่อรับมือกับหนี้เสีย (NPL) อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ลดลง และกำลังซื้อที่ปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการปรับขึ้นค่าจ้าง พอจะบรรเทาความกังวลเรื่อง NPL ที่สูงขึ้นได้บ้า'
ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และนิคมอุตสาหกรรม คาดว่าจะรายงานกำไรไตรมาส 3 ที่ดีขึ้นทั้ง QoQ และ YoY จากฐานที่ต่ำในปีที่แล้ว
ในทางกลับกัน อาจเห็นการปรับลดประมาณการกำไรทั้งปีของหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง สื่อและสิ่งพิมพ์ สาธารณูปโภค รวมถึงกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ตามมา หลังธุรกิจเหล่านี้รายงานกำไรช่วงครึ่งปีแรกแบบน่าผิดหวัง
ดังนั้น เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และความสามารถทำกำไร เพื่อคัดเลือกหุ้นที่มีผลดำเนินงานแซงหน้าตลาด KS แนะนำให้ลงทุน KKP BAM TIDLOR SAWAD AP SPALI ORI BGRIM GPSC BH PTG OR และ RBF