1807 จำนวนผู้เข้าชม |
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยว่า เพื่อเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร ไล่ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบที่หลากหลาย เพื่อผลิตสินค้าทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ ต่อเนื่องถึงการนำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์ให้สามารถตอบสนองความต้องการบรรจุภัณฑ์แบบยั่งยืนได้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ทำให้บริษัทฯ ทุ่มงบลงทุน ลงทุน 1.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 73 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้น Jordan Trading Inc. ในสัดส่วน 90.1% ผ่านบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นใหม่ และให้บริษัทแห่งนี้ถือหุ้นทั้งหมด สำหรับหุ้นที่เหลืออีก 9.9% ถือโดย SCG International USA Inc. ที่เป็นบริษัทย่อยของ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) อยู่แล้ว
ทั้งนี้ Jordan Trading Inc.ทำธุรกิจจัดหาและจำหน่ายวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลในสหรัฐฯ ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้ยาวนานกว่า 34 ปี สามารถจัดหาวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลได้ถึงปีละประมาณ 1 แสนตัน ผ่านเครือข่ายการจัดหาวัตถุดิบครอบคลุมพื้นที่ตอนกลาง ถึงฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลคุณภาพสูงรายใหญ่สุดของโลก อีกทั้งยังมีระบบบริหารจัดการโลจิสติกส์ครอบคลุมทั้งการขนส่งสินค้าในประเทศและทางเรือ
สำหรับผลดำเนินงานในปีที่ผ่านมา Jordan มีรายได้ 15.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 568 ล้านบาท และมีกำไร 1 แสนเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 4 ล้านบาท ขณะที่ทรัพย์สินรวมอยู่ที่ 3.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 117 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ จะช่วยให้ SCGP เริ่มรับรู้รายได้ได้ทันที ตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป
การทำธุรกรรมครั้งนี้ ถือเป็นการลงทุนขยายธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบ Merger & Partnership (M&P) อย่างต่อเนื่อง หลังจากเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เข้าลงทุน Peute Recycling ซึ่งทำธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์และจำหน่ายวัตถุดิบกระดาษและพลาสติกรายใหญ่สุดในเนเธอร์แลนด์ ในสัดส่วน 100% ตามแผนยุทธศาสตร์ระยะกลางของ SCGP ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร จากการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบรีไซเคิลจากต่างประเทศ ทั้งกล่องกระดาษใช้แล้วคุณภาพสูงในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ช่วยเพิ่มคุณภาพกระดาษบรรจุภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษได้โดยตรง และการขยายฐานการจัดหาวัตถุดิบรีไซเคิลผ่าน synergy ระหว่าง Jordan กับ Peute ได้ด้วย
นอกจากนี้ ยังจะสามารถแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจของ SCGP ให้กับเครือข่ายรีไซเคิลในภูมิภาคอาเซียน ยุโรป และสหรัฐฯ เพื่อนำมาต่อยอดธุรกิจบรรจุภัณฑ์ให้มีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล ผ่านฐานการผลิตกว่า 50 แห่ง ในไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สเปน สหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์ สร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยาว
ในมุมมองนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ มองคล้ายๆ กันว่า การซื้อกิจการ Jordan น่าจะมีผลบวกต่อราคาหุ้นเล็กน้อย เพราะดีลมีขนาดเล็ก จึงมีผลต่อประมาณการกำไรระยะสั้นเพียงเล็กน้อย แต่จะส่งผลบวกในระยะกลางเป็นต้นไป จากการมีแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลายและมากขึ้น หนุนให้ต้นทุนต่ำลง และเสริมให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น
แต่หากมองแนวโน้มธุรกิจปีนี้ ค่ายบัวหลวง (BLS) และฟินันเซีย ไซรัส (FSS) มองคล้ายๆ กันว่า ราคาหุ้นได้สะท้อนภาพที่ไม่สดใสในครึ่งปีแรกไปพอสมควรแล้ว จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสะสมหุ้น เพื่อรอการฟื้นตัวของธุรกิจในครึ่งปีหลังที่สดใสขึ้น หนุนโดยอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น และอัตรากำไรที่ขยายตัวสูงขึ้น จึงแนะนํา "ซื้อ” โดย BLS ให้ราคาเป้าหมายที่ 72 บาท ส่วน FSS ให้ราคาเป้าหมายแค่ 67 บาท
ส่วนฟิลลิป (PLS) ชี้ว่า การหันมาใช้พลังงานอย่างอื่นเพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนถ่านหินที่สูงขึ้น ในสัดส่วนที่มากขึ้น พร้อมกับปรับเพิ่มราคาขายบางส่วน จะช่วยลดผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ ขณะเดียวกัน การเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ปลายน้ำมากขึ้น จะช่วยให้ SCGP มีกำไรขั้นต้นดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ การที่บริษัทฯ มีสัดส่วนหนี้ต่อทุน (D/E) ต่ำเพียง 0.62 เท่า อีกทั้งธุรกิจมีความเสี่ยงค่อนข้างน้อย ทำให้โอกาสลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องเปิดกว้าง ช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคตได้เป็นอย่างดี จึงแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาพื้นฐาน 70 บาท
ขณะที่ไทยพาณิชย์ (SCBS) บอกว่า การลงทุนใหม่ทั้ง 2 ครั้ง จะช่วยเพิ่มความมั่นคงในการจัดหาวัตถุดิบ ซึ่งจะหนุนให้กำไรของบริษัทฯ ปรับเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย โดยคาดแนวโน้มกำไรปกติครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นทั้ง QoQ และ YoY โดยในไตรมาส 3 ได้แรงหนุนจากฐานที่ต่ำในปีก่อน บวกด้วยยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และการรับรู้กำไรจากการทำ M&P อีก 1-2% หลักๆ มาจากการลงทุนใน Peute ส่วนในไตรมาส 4 มีปัจจัยหนุนหลักจากส่วนต่างราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ กับต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลที่กว้างขึ้น จึงยังคงแนะนำ "ซื้อ" โดยให้ราคาเป้าหมายปีนี้ที่ 65 บาท