1783 จำนวนผู้เข้าชม |
ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการลงทุนช่วงนี้ ดูเหมือนว่าจะมีมากเป็นพิเศษ เช่น ดอกเบี้ยอ้างอิงของอเมริกา ยุโรป และทั่วโลก กำลังปรับตัวขึ้น เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นแรงอย่างที่ไม่เคยประสบในรอบหลายสิบปี ราคาพลังงาน เช่นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ปรับตัวขึ้น เพราะสงครามรัสเซีย - ยูเครน (แต่ช่วงนี้กำลังปรับตัวลง โดยเฉพาะน้ำมัน) สงครามการค้าและสงครามเย็นอาจกำลังก่อตัวขึ้น ระหว่างจีนและรัสเซีย กับสหรัฐอเมริกาและยุโรป
ในส่วนของบริษัทจดทะเบียนเองก็มีข่าวน่าตื่นเต้นทุกวัน บางบริษัทฯ มีข่าวแทบไม่เว้นวันว่าจะโต โตและโต และผู้บริหารก็เข้าซื้อหุ้นตนเองเป็นระยะๆ ทั้งหมดนั้นก็มักจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้น และหุ้นหลายๆ ตัวมีราคาปรับตัวขึ้นหรือลง คล้ายๆ กับคลื่นในทะเล บางครั้งก็รุนแรง บางครั้งก็เบา แต่ทั้งหมดนี้มักจะไม่ได้เป็นสัญญาณที่จะบอกว่า วันรุ่งขึ้นมันจะลงหรือขึ้น ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ มันไม่ได้บอกว่าในระยะยาวซัก 3-4 ปีขึ้นไป หุ้นจะไปทางไหน
ถ้าข่าวหรือเรื่องราวต่างๆ ที่ออกมานั้น มีธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปได้เร็ว หรือมีความผันผวนสูง ซึ่งบ่อยครั้งก็สามารถดูได้จากประวัติศาสตร์ ผลกระทบต่อราคาดัชนีหรือหุ้นในระยะยาว หรือแม้แต่ระยะกลาง เช่น 1-2 ปี ก็จะมีไม่มาก หุ้นขึ้นไปหรือตกลงมาไม่กี่วันก็หยุด และก็อาจจะเด้งกลับไปที่เดิม แบบนี้ในทางเศรษฐศาสตร์และการเงินเราเรียกว่า "Noise" หรือ "เสียงรบกวน"
คนที่ซื้อขาย หรือลงทุนก็จะต้องรู้ว่า เวลาที่จะเทรดหรือซื้อขายก็จะต้องทำอย่างรวดเร็วและในเวลาอันสั้น อย่าไปลงทุนแบบ "VI” ที่เน้นถือยาว หรือปล่อยให้ "Profit Run” คือไม่ขายทั้งๆ ที่กำไรอยู่นานเกินไป เพราะหุ้นที่ขึ้นลง เพราะ Noise นั้น จะไม่ขึ้นหรือลงยาวแบบ Trend แต่จะขึ้นอยู่กับ "พื้นฐาน" ของตลาดหรือกิจการมากกว่า
คนที่เป็น VI แบบมุ่งมั่น และเน้นการลงทุนระยะยาวเป็นหลักนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่ทำอะไรกับหุ้น หรือการลงทุนเมื่อมีข่าวสารพัดที่น่าตื่นเต้นทุกวัน เหตุก็เพราะว่าข่าวสารเหล่านั้นส่วนมากแล้วก็เป็นข่าวที่ไม่ได้มีผลกระทบ "ระยะยาว” ต่อหุ้นหรือเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งก็เพราะว่าข่าวเหล่านั้นเป็นเรื่องที่มักจะเกิดชั่วคราว "ตามสถานการณ์" ที่เกิดในขณะนั้น และเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ข่าวเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนไปตาม เช่นเดียวกับราคาหุ้นที่จะขึ้น-ลง ตามข่าวนั้น ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป หรืออีกอย่างน้อย 3-4 ปีขึ้นไป ซึ่งจะกลายเป็นเทรนด์
ตัวอย่างเช่น เรื่องของอัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อนั้น ตามประวัติศาสตร์ก็บอกว่า ส่วนมากที่สุดนั้นมันขึ้นลงภายในเวลาไม่เกิน 2-3 ปี ยกเว้นก็แต่ช่วงที่ผ่านมาน่าจะเป็น 10 ปีขึ้นไปที่มันตกต่ำมานานมาก จนโลกแทบจะลืมไปว่าอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อมันอาจจะสูงขึ้นได้ แต่ถ้าเราเชื่อว่าเดี๋ยวมันก็จะกลับลงมาเหมือนเดิม หรือใกล้เคียงของเดิม ปัจจัยเรื่องนี้ก็จะไม่มีผลต่อการลงทุนระยะยาวของเรา
เช่นเดียวกับราคาพลังงานที่ปรับตัวขึ้นไปสูงมากในช่วงก่อนหน้านี้ จากสงครามรัสเซีย - ยูเครน ถ้าเราเชื่อว่าโลกนั้นไม่ได้ขาดแคลนน้ำมัน เพียงแต่เกิดการสะดุดในเรื่องของการขนส่งหรือโลจิสติกส์ เมื่อโลกสามารถแก้ปัญหานี้ได้แล้ว ซึ่งก็ได้อย่างแน่นอน ราคาน้ำมันหรือพลังงานก็จะลดต่ำลงมาเป็นปกติ เรื่องของราคาน้ำมันสูงก็จะไม่ได้เป็นประเด็นในการลงทุนมากนัก
การวิเคราะห์เหตุผล หรือตรรกะของข่าวสารว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจ การเงินและการลงทุน ในตลาดหลักทรัพย์ในระยะยาวนั้น เราเรียกว่าเป็น “Information” ซึ่งจะเป็นตัวชี้ว่าแนวโน้มหรือเทรนด์อย่างน้อยในระยะ 3-4 ปีขึ้นไปจะเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งถือว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศนั้น
ข่าวสารว่าเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรปนั้น น่าจะตกต่ำลงในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นตกลงมาแรง แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็น Noise ที่ผมจะไม่สนใจมากนัก ถ้าใครจะถามว่าควรลงทุนในหุ้นอเมริกาหรือหุ้นไทยตอนนี้ไหม หรือควรขายไหม ผมคงไม่อยากตอบ เพราะนี่คือคำถามสำหรับคนที่เทรดหุ้นระยะสั้น ถ้าจะลงทุนระยะยาวแล้ว เราต้องตอบให้ได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือยุโรป ในระยะยาว จะโตแค่ไหนอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องของ Information เช่น ปัจจัยในการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรวัยทำงาน ประสิทธิภาพของคนที่ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และระบบการปกครองของรัฐที่เอื้ออำนวยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งนาทีนี้อาจจะรวมไปถึงเรื่องของสงครามการค้า หรือสงครามเย็นที่อาจจะกำลังเกิดด้วย
ดังนั้น ดัชนีหรือราคาหุ้นที่ขึ้นลงในช่วงนี้สำหรับนักลงทุนระยะยาวอย่างผมนั้นจะ "ไม่มีความหมาย" เพราะเราต้องวิเคราะห์ข่าวสารแบบ Information ซึ่งถ้าออกมาว่าประเทศหรือหุ้นน่าลงทุนและหุ้นกำลังตก นี่ก็จะเป็นโอกาสที่ดี ได้ซื้อของถูก แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้า Noise ก็คือ หุ้นขึ้นเพราะเป็นหุ้นบริษัทขุดน้ำมันที่กำลังมีราคาสูงขึ้นมาก แต่เราเชื่อว่ามันจะขึ้นชั่วคราว เดี๋ยวก็ลง แบบนี้ก็คือเทรนด์ระยะยาวของน้ำมันน่าจะลง เราก็ต้องขาย อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นก็ต้องดูราคาของหุ้นด้วยว่าเป็นอย่างไร เพราะเราเป็น VI ที่เน้นในเรื่องความถูกความแพงของหุ้นเหนือสิ่งใด
สำหรับคนที่เลือกหุ้นลงทุนเองนั้น "ข่าวสารรายวัน” ของหุ้นรายตัวส่วนใหญ่ ผมคิดว่าเป็น Noise ที่บ่อยครั้งถูก "สร้างขึ้น” เพื่อกระตุ้นราคาหุ้น ตัวอย่างในระยะหลังๆ ที่เศรษฐกิจไทยโตช้าลงมาก ซึ่งทำให้บริษัทโตช้าลง ทำให้บริษัทจดทะเบียนที่เจ้าของ หรือผู้บริหารต้องการ "ปั้น" หรือ "ปั่น" ราคาหุ้น บางคนมักจะพยายาม "สร้างการเติบโต" โดยขยายไปทำ "ธุรกิจใหม่” ที่นักเศรษฐศาสตร์หรือนักวิเคราะห์มองว่าจะเติบโตไปเร็วมาก
หลังจากคำประกาศ ราคาหุ้นก็มักจะวิ่งขึ้นไปรุนแรง ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะมีคนเตรียมจะไล่ราคาอยู่แล้ว ราคาที่วิ่งขึ้นไปดึงดูด "นักเก็งกำไร” รายย่อยที่มีอยู่เต็มตลาดเข้ามาร่วมซื้อด้วย ราคาก็วิ่งต่อไปได้อีก หลายครั้งเกิดสถานการณ์ "Corner” หุ้น มีคนต้องการซื้อมากกว่าคนจะขายมาก หุ้นก็จะวิ่งขึ้น บางทีเป็นหลายเท่า คนที่ซื้อและถือหุ้นไว้ต่างก็เชื่อมั่นว่าพื้นฐานของบริษัทฯ เปลี่ยนและจะโตไปจน "เหนือจินตนาการ” บางทีอาจจะใหญ่ที่สุดในประเทศ หุ้นเล็กๆ บางตัวที่ธุรกิจเดิมแทบไม่มีค่า แต่พอไปทำ “ธุรกิจแห่งอนาคต” เช่นที่เกี่ยวกับเหรียญคริปโตอาจจะมีค่าเป็น “หลักหมื่นหรือแสนล้านบาท” ได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ “เซียนหุ้น” ระดับพระกาฬ หรือเจ้าของ ต่างก็เข้ามากระหน่ำซื้อรัวๆ สร้างความมั่นใจว่าหุ้นต้องไปแน่นอน
แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ การเติบโตที่คาดหวังนั้น สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ข่าวสารเป็นแค่ Noise และแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงธุรกิจหลักเดิมเลย มันถูกทำหรือสร้างขึ้นเพื่อกระตุ้นราคาหุ้นเป็นหลัก และเมื่อมันไม่เป็นจริงหรือไม่สำเร็จ ราคาหุ้นก็ต้องกลับมาที่เดิม ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับหุ้นแบบนี้ เคยเกิดมาไม่นาน แต่นักลงทุนก็ลืมไปแล้ว
จากประสบการณ์อันยาวนาน ผมอยากจะบอกว่า นักลงทุนนั้นความจำสั้น แต่ความโลภยาวนาน และความเสียหายตลอดไป