idea ลงทุนหุ้นในตลาด mai อีกทางเลือกบริหารพอร์ตโค้งสุดท้ายปี 65

2204 จำนวนผู้เข้าชม  | 

idea ลงทุนหุ้นในตลาด mai อีกทางเลือกบริหารพอร์ตโค้งสุดท้ายปี 65

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ หยวนต้า (YUANTA) บอกว่า จากการตรวจสอบผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai 182 ราย จากทั้งหมด 186 ราย กำไรรวมของตลาดอยู่ที่ 1,527 ล้านบาท แต่หากเปรียบเทียบกับไตรมาสแรก (QoQ) และช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) กำไรกลับอ่อนตัวลง 44.49% และ 6.83% ตามลำดับ สาเหตุหลักจากธุรกิจในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ธุรกิจด้านการเงิน บางบริษัทได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัล และหลายรายถูกกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด กดดันให้ยอดปล่อยสินเชื่อลดลง

อย่างไรก็ดี ยังมีกลุ่มที่สามารถเติบโตได้ดีทั้ง QoQ และ YoY คือ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (+63.93% QoQ และ +3.33% YoY) กับกลุ่มบริการ (+69.06% QoQ และ +71.23% YoY) ที่ได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด หนุนด้วยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ตามมาด้วยกลุ่มเทคโนโลยี (+19.33% QoQ, +11.07% YoY) ที่ได้แรงหนุนจากความต้องการด้าน Digital Transformation, Cyber Security, และ Cloud ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องผลักดันให้บริษัทฯ หลายราย เช่น BBIK, BE8, DITTO, ICN, PLANET เติบโตตามไป



สำหรับแนวโน้มไตรมาส 3 คาดภาพรวมกำไรจะฟื้นตัวจากไตรมาส 2 (QoQ) และใกล้เคียงช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) เพราะกลุ่มการเงินจะขาดทุนน้อยลง เนื่องจากราคาสินทรัพย์ดิจิทัลผันผวนน้อยลง ขณะที่กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม แรงกดดันด้านต้นทุนเริ่มผ่อนคลาย เมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ปรับตัวลงตามราคาน้ำมัน

ขณะที่กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าอุปโภคบริโภค กับกลุ่มบริการ จะได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นต่อเนื่อง และมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ ไม่ว่าจเป็น เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 หรือคนละครึ่งเฟส 5 รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ย 5% ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ช่วยหนุนให้การจับจ่ายใช้สอย ทั้งเพื่อการบริโภค และการท่องเที่ยวในไตรมาสสุดท้ายของปีเติบโตเด่น ในทำนอง High Season ของปี และผลักดันให้กำไรไตรมาสสุดท้ายปรับตัวดีขึ้น QoQ

อย่างไรก็ตาม กำไรไตรมาสสุดท้ายเมื่อเทียบ YoY คาดทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย จากฐานที่สูงผิดปกติในปีก่อน เพราะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคได้แรงหนุนจากการขายอุปกรณ์การแพทย์ที่เกี่ยวกับโควิด รวมถึงกลุ่มการเงิน และกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัล 

แม้ในการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ และ Valuation จะสะท้อนว่าหุ้นใน mai ไม่อยู่ในจุดที่น่าสนใจในการลงทุนมากนัก แต่ด้วยความที่ผลประกอบการของหุ้นใน mai มีความอ่อนไหวต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงทำให้ยังมีหุ้นใน mai ที่ยังสามารถลงทุนได้ ซึ่งเมื่อใช้เกณฑ์ 2 ข้อ คือ ผลประกอบการมีแนวโน้มพลิกฟื้นเด่นชัด (Turnaround) ในครึ่งปีหลัง ประกอบเข้ากับมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่ยังไม่แพง สามารถคัดเลือกหุ้นที่น่าสนใจได้ 7 ตัว ประกอบด้วย BIZ, CMO, IP,  PIMO, SECURE, TACC และ VL

BIZ คาดผลประกอบการไตรมาส 3 กลับมาโต QoQ จากการเร่งรับรู้รายได้หลังมีบางโครงการเลื่อนมาจากไตรมาส 2 ก่อนฟื้นตัวโดดเด่น QoQ และ YoY ในไตรมาสสุดท้าย ตามการทยอยรับรู้งานในมือได้มากขึ้น ทั้งการเร่งตรวจรับงานเดิม และการเปิดประมูลงานใหม่ของภาครัฐ หลังจากที่ชะลอตัวไปมากในปี 2563-2564 เสริมด้วยอัตรากำไรสุทธิของธุรกิจโรงพยาบาลที่ปรับตัวดีขึ้นจากการนำเงินเพิ่มทุนไปชำระหนี้เพื่อลดดอกเบี้ย

ราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 4.50 บาท อิง PER ที่ 15 เท่า
แนวต้าน 4.72-4.90 บาท แนวรับ 4.36-4.48 บาท ตัดขาดทุน 4.30 บาท

CMO เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอีเว้นท์ และปีนี้ มีการขยายธุรกิจไปยัง Entertainment และ Tech ซึ่งจะช่วยยกฐานรายได้ราวปีละ 30% และหนุนการเติบโตในระยะยาวรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง

คาดผลประกอบการปีนี้ พลิกกลับมามีกำไรที่ 92 ล้านบาท จากขาดทุนปีก่อนหน้าที่ 121 ล้านบาท รับการคลายตัวของโควิด ก่อนโตต่อเนื่อง 54% YoY เป็น 142 ล้านบาทในปีหน้า จากธุรกิจอีเว้นท์ที่กลับมาจัดกิจกรรมได้มากขึ้น และธุรกิจใหม่มีการจัดทั้งคอนเสิร์ต สัมมนาระหว่างประเทศ และรุกตลาด International Festival เต็มตัว

ราคาเหมาะสมปี 2566 ที่ 7.60 บาท ด้วยวิธี DCF อิงสมมติฐำน WACC ที่ 7.8%
แนวต้าน 5.55-5.85 บาท แนวรับ 4.84-5.00 บาท ตัดขาดทุน 4.74 บาท

IP คาดรายได้และกำไรปีนี้โตเด่น +81% และ +55% YoY เป็น 1,646 ล้านบาท และ 163 ล้านบาท ตามลำดับ จากการรุกช่องทางการขายเข้าถึงลูกค้าโดยตรงมากขึ้น และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่จากหมวดคนและสัตว์กว่า 20 รายการ หนุนด้วยการเริ่มรับรู้รายได้กำไรจากโรงงานผลิตยาที่เข้าไปลงทุน หลังจากเริ่มรวมรายได้จาก Lab Pharmacy เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 2 นอกจากนี้ ยังจะมี Upside จากการออกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของกระท่อมในอนาคต และ Synergy จากการเข้าร่วมลงทุนของอินโนบิก (บริษัทย่อยของ PTT) 

ราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 22.60 บาท
แนวต้าน 18.20-18.70 บาท แนวรับ 17.20-17.60 บาท ตัดขาดทุน 17.00 บาท

PIMO  คาดผลประกอบการไตรมาส 3 ทำจุดสูงสุดใหม่ราว 37 ล้านบาท (+19.4% QoQ, +19.1% YoY) หนุนโดยปัจจัยฤดูกาลที่เป็น High season ทำให้ความต้องการใช้ปั๊มน้ำการเกษตรเพิ่มสูงขึ้น

คาดกำไรปกติปี 2565–2566 ที่ 139 ล้านบาท (+36.1%YoY) และ 181 ล้านบาท (+30% YoY) ตามลำดับ และยังจะมี Upside จากการขายมอเตอร์รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และการได้ลูกค้ารายใหม่ในออสเตรเลีย ซึ่งมีสัญญาซื้อ 3 ปี มูลค่าคำสั่งซื้อปีละ 400–500 ล้านบาท

ราคาเหมาะสม กลางปีหน้าสิ้น อยู่ที่ 5.05 บาท
แนวต้าน 3.70-3.88 บาท แนวรับ 3.40-3.50 บาท ตัดขาดทุน 3.34 บาท

SECURE ได้อานิงค์จากสถานการณ์ขาดแลนชิปในอุตสาหกรรม Cybersecurity เริ่มบรรเทาลง ทำให้สายการผลิตสินค้ากลุ่ม High End เริ่มทยอยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ประกอบกับสินค้ากลุ่มการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่เริ่มมีรายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่กว่า 80% ยังไม่ได้ลงทุนในส่วนนี้ ส่งผลให้ผู้บริหารคาดว่าสินค้ากลุ่มนี้จะเด่นขึ้นในปีหน้า ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3 คาดกลับมาฟื้นตัวจากการรับรู้รายได้ที่เลื่อนมาจากไตรมาส 2

ราคาเหมาะสมปีหน้า ที่ 24.50 บาท อิง PER ที่ 33.5 เท่า
แนวต้าน 20.00-20.80 บาท แนวรับ 18.00-18.70 บาท ตัดขาดทุน 17.80 บาท

TACC คาดผลประกอบไตรมาส 3 ชะลอตัว QoQ จากปัจจัยฤดูกาล และอัตรากำไรขั้นต้นที่อาจปรับลดลงจากต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี หากบริษัทฯ ปรับขึ้นราคาขายตาม All Café ได้ จะช่วยลดผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นอย่างมีนัยสำคัญ ก่อนโชว์กำไรสูงสุดใหม่ในไตรมาสสุดท้าย จากผลของฤดูกาล และต้นทุนการผลิตที่คาดว่าจะเริ่มปรับตัวลง หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นกลับมาอยู่ในระดับสูงได้อีกครั้ง

ราคาเหมาะสมปีหน้า ที่ 9.00 บาท
แนวต้าน 7.55-7.80 บาท แนวรับ 6.80-7.00 บาท ตัดขาดทุน 6.70 บาท

VL คาดผลประกอบการไตรมาส 3 เร่งตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 25-30 ล้านบาทอีกครั้ง จากการไม่มีเรือหยุดซ่อมบำรุงเหมือนช่วงครึ่งปีแรก ทำให้เรือขนส่งน้ำมันในประเทศ 8 ลำ และเรือขนส่งน้ำมันปาล์มระหว่างประเทศ 4 ลำ สามารถให้บริการเต็มศักยภาพ รองรับความต้องการจัดเก็บน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง และยังจะได้ประโยชน์ขณะที่ต้นทุนการให้บริการลดลง เพราะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในการเดินเรือลดลงจากครึ่งปีแรก นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการปรับขึ้นค่าขนส่ง เมื่อปริมาณเรือขนส่งน้ำมันยังอยู่ในภาวะตึงตัว

ข้อจำกัดด้านอุปทานสวนทางอุปสงค์ น่าจะส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายทำจุดสูงสุดของปี ทำให้คาดกำไรสุทธิปีนี้ อยู่ที่ 50 ล้านบาท โต 117% YoY และเร่งตัวเป็น 85 ล้านบาท ในปีหน้า โต 70% YoY

ราคาเหมาะสมปีหน้า ที่ 1.70 บาท อิง PER ที่ 20 เท่า
แนวต้าน 1.60-1.70 บาท แนวรับ 1.32-1.36 บาท ตัดขาดทุน 1.26 บาท

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้