2085 จำนวนผู้เข้าชม |
นายประกฤต ธัญวลัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. หลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม ประเทศไทย (Z) เปิดเผยว่า บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ (APM) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 120 ล้านหุ้น แก่ประชาชนทั่วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจ โดยเฉพาะบริการเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance) ซึ่งเป็นช่องทางสร้างรายได้หลักให้บริษัทฯ ถึง 80% ที่เหลือนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นอกจากนี้ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังจะทำให้บริษัทฯ มีความน่าเชื่อถือต่อคู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และ สถาบันการเงินมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มศักยภาพและการขยายโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับองค์กรในระยะยาว
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ Z มีความแตกต่างจากธุรกิจหลักทรัพย์อื่น ที่ให้ความสำคัญกับค่านายหน้าในการซื้อขายหลักทรัพย์ แต่บริษัทฯ มุ่งเน้นรายได้จากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นหลัก ทำให้ไม่ต้องกังวลกับสภาวะตลาด มูลค่าการซื้อขาย หรือวันหยุดทำการ เพราะดอกเบี้ยสามารถสร้างรายได้ได้ทุกวัน
สำหรับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ บริษัทฯ จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างความหลากหลายของหลักทรัพย์ที่สามารถซื้อและนำมาวางเป็นหลักประกัน เพื่อรองรับธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance) เป็นหลัก โดยคัดเลือกหลักทรัพย์ที่จะอนุญาตให้ซื้อหรือนำมาวางเป็นหลักประกัน ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ได้รับองค์ความรู้จากบริษัทแม่ในญี่ปุ่น มาประยุกต์ใช้ร่วมกับปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยทางเทคนิค และปัจจัยเชิงคุณภาพของหลักทรัพย์ ช่วยปรับเกรดหุ้นให้เหมาะสมกับสถานการณ์รายวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัทฯ กำหนดค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Commission Rate) ในอัตรา 0.065% ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ในตลาด เนื่องจากบริษัทฯ มุ่งเน้นให้ลูกค้าทำรายการด้วยตนเองผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก โดยอาศัยความได้เปรียบจากต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง
และเนื่องจากบริษัทฯ เน้นให้ลูกค้าทำรายการด้วยตนเองผ่านระบบอินเตอร์เน็ต จึงทำให้บริษัทฯ วางแผนขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่ม Generation Y (อายุ 25-40 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตเป็นประจำ และหาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนด้วยตนเอง เพราะนอกจากจะช่วยขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นในระยะสั้นได้แล้ว ยังจะสามารถต่อยอดให้กลายเป็นลูกค้าหลักได้ในระยะยาวอีกด้วย เพราะที่ผ่านมา บริษัทฯ มีฐานลูกค้ากลุ่ม Generation X (อายุ 41-55 ปี) ซึ่งมีประสบการณ์ในการลงทุนสูงในสัดส่วนสูงอยู่แล้ว โดยแผนในการดึงดูดลูกค้าจะเน้นช่องทางออนไลน์เป็นหลัก และเสริมด้วยช่องทางออฟไลน์ ผ่านการออกบูธ การจัดสัมมนาให้ความรู้ และการโฆษณาผ่านช่องทางหนังสือพิมพ์ เพิ่มเติม
สำหรับผลดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี (2562–2564) บริษัทฯ มีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง จาก 251.53 ล้านบาท ในปี 2562 เพิ่มเป็น 398.15 ล้านบาท และ 719.80 ล้านบาท ในปี 2563 และปี 24564 ตามลำดับ ขณะที่ผลดำเนินงานครึ่งแรกปีนี้ สามารถทำรายได้ได้ 469.69 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน 50.16%
ซึ่งนางสาวประวีนา ไหมรักษา หัวหน้ากลุ่มงานสนับสนุนงานผู้บริหาร Z ชี้แจงว่า การเติบโตของรายได้มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากยอดลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 บริษัทฯ มียอดลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่ 13,769 ล้านบาท เติบโตจากสิ้นไตรมาส 2 ปีก่อน 40.76%
โดยพอร์ตรายได้จากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมมีการเติบโตเกิน 81% อย่างต่อเนื่อง จาก 206.11 ล้านบาท ในปี 2562 เพิ่มเป็น 335.33 ล้านบาท และ 639.63 ล้านบาท ในปี 2563 และปี 24564 หรือคิดเป็นสัดส่วน 81.94% 84.22% และ 88.86% ของรายได้รวมตามลำดับ ขณะที่งวดครึ่งแรกปีนี้ รายได้ส่วนนี้อยู่ที่ 430.38 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 91.64% ของรายได้รวม โดยบริษัทฯ สามารถขึ้นแท่นผู้นำธุรกิจหลักทรัพย์ที่ให้บริการเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในประเทศได้ตั้งแต่ปีที่แล้วเรื่อยมา
ซึ่งการเติบโตของรายได้ ทำให้บริษัทฯ สามารถทำกำไรสุทธิเติบโตแบบก้าวกระโดดตามมา จาก 7 ล้านบาท ในปี 2562 ขยับมาเป็น 45 ล้านบาท และ 261 ล้านบาท ในปี 2563 และปี 24564 ตามลำดับ ส่วนครึ่งแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 182 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 18%
ทั้งนี้ บมจ. หลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม ประเทศไทย (Z) เป็นบริษัทในเครือ GMO Internet Inc. (GMO Internet) ผ่านทางการถือหุ้นของ GMO Financial Holdings Inc. (GMOFHD) ซึ่งทั้ง 2 บริษัทเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว โดยบริษัทในกลุ่ม GMO Internet มีการดำเนินธุรกิจครอบคลุมหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง GMOFHD ที่ประกอบธุรกิจในการถือหุ้นในธุรกิจที่เป็นผู้ให้บริการทางการเงิน ครอบคลุมการให้บริการใน 4 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และไทย