แนะทยอยสะสมหุ้นที่ 1,620 / 1,590 จุด พร้อมให้ความมั่นใจหุ้นไทย ยัง outperform หุ้นโลก

2395 จำนวนผู้เข้าชม  | 

แนะทยอยสะสมหุ้นที่ 1,620 / 1,590 จุด พร้อมให้ความมั่นใจหุ้นไทย ยัง outperform หุ้นโลก

ถึงแม้ธนาคารกลางสหัฐฯ (FED) จะประกาศขึ้นดอกเบี้ย 75 bps (0.75%) ตามคาดมาอยู่ที่ 3.25% อย่างไรก็ตาม Dot Plot ซึ่งเป็นเครื่องมือบ่งชี้เป้าหมายดอกเบี้ยของ FED ปีนี้ กลับเร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 4.4% ขณะที่ปีหน้าอยู่ที่ระดับ 4.6% ก่อนจะปรับลงมาที่ 3.9% ในปี 2567 ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า FED จะยังคงขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในปีหน้า โดยจะไม่ปรับลดดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 ทำให้ตลาดกลับมากังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยมากขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยตลาดพันธบัตรพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยดอกเบี้ยพันธบัตร 2 ปี ทะยานแตะ 4.1% สูงสุดใหม่ในรอบ 15 ปี และดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปี แตะ 3.6% สูงสุดในรอบ 11 ปี ขณะที่ส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ติดลบมากขึ้น ขณะที่ US Dollar Index ขึ้นแตะระดับ 111 จุด ทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 20 ปี พร้อมทั้งกดดันให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับฐานต่อเนื่อง อย่างหุ้นสหรัฐฯ ทำสถิติต่ำสุดครั้งใหม่ ขณะที่ราคาทองคำ ร่วงแตะจุดต่ำสุดในรอบ 2 ปี ในสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ขณะเดียวกัน Fed Watch Tool ล่าสุด ยังคาดหมายด้วยว่า การประชุม 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ FED น่าจะขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 0.75% และ 0.50% ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมนี้  ถือเป็นการปรับขึ้นที่แรงกว่าคาด ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับแข็งค่าขึ้น พร้อมฉุดค่าเงินบาทให้อ่อนทะลุ 37 บาท ตามมา

ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส (ASPS) ให้ความเห็นว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะทําให้การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพุธที่จะถึงนี้ น่าจะเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายขั้นต่ำ 0.25% ซึ่งจะส่งผลลบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น แต่คาดจะยังมีทิศทางดีกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศ (Outperform) โดยน่าจะส่งผลบวกต่อหุ้นบางกลุ่ม โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์, ประกัน ท่องเที่ยว และบริการ พร้อมแนะนำทยอยสะสม ที่ดัชนีบริเวณ 1,620 จุด 

ขณะที่ดาโอ (DAOL) เสริมว่า การที่ตลาดหุ้นไทยช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ปรับลดลงเพียง 1.4% ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ลดลงถึง 10% จึงทำให้มี gap ที่จะเห็นแรงขายกดดัชนีให้ปรับลงได้อีก เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่า และการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ยังคงเป็นปัจจัยเดิมๆ ที่คอยกดดันตลาด จึงแนะแนวรับจุดแรก 1,590-1,600 จุด

เช่นเดียวกับทิสโก้ (TSC) ที่แนะนำลงทุนระยะสั้น ใน 5 ธีม คือ (1) หุ้นได้ประโยชน์จาก Bond Yield ปรับขึ้น อย่างกลุ่มธนาคารพาณิชย์และประกัน แนะนำ BBL, SCB, TLI (2) หุ้นที่มีรายได้เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า อาทิ MEGA, SAPPE, TFG (3) หุ้นได้ประโยชน์จากการซ่อมแซมหลังน้ำท่วม นำโดย GLOBAL, HMPRO (4) หุ้นได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันขายปลีกปรับลง กลุ่มค้าปลีกน้ำมัน PTG, SUSCO, OR และกลุ่มไฟแนนซ์ อย่าง AEONTS, KTC, MTC (5) Theme เปิดประเทศ นำโดย AOT, CENTEL, SPA

ขณะที่ไอร่า (AIRA) มองว่า น่าจะเห็นตลาด Rotate จากกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนได้ดีในช่วงก่อนหน้า อย่างหุ้นกลุ่มพลังงาน (PTTEP, TOP, SPRC และ BCP) ปิโตรเคมี (IVL และ PTTGC) และโรงพยาบาล (BH และ BDMS) เข้าหาหุ้นกลุ่มที่ยัง Laggard และมีแนวโน้มกำไรจะเริ่มฟื้นตัวชัดเจนในไตรมาส 4 อย่างหุ้นกลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC และ MAKRO), รับเหมาก่อสร้าง (CK, STEC, ITD และ SYNTEC) สื่อและโฆษณา (PLANB และ VGI) อาหารและเครื่องดื่ม (TKN, SUN, TWPC, GFPT, TFG, CFRESH และ ASIAN) และอาจแบ่งเงินลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB และ BBL) ได้บ้าง

ขณะที่ฟิลลิป ประเทศไทย แนะแนวทางลงทุนด้านเทคนิค หากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังแข็งค่าต่อเนื่อง สรุปได้ดังตารางข่างล่างนี้  

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้