EA ขยายตลาดมาเลเซีย ต่อยอด New S-curve ธุรกิจ EV โบรกคาดเห็นผลปีหน้าชัดเจน แต่ราคาเหมาะสมยังมองต่างมุม

2080 จำนวนผู้เข้าชม  | 

EA ขยายตลาดมาเลเซีย ต่อยอด New S-curve ธุรกิจ EV โบรกคาดเห็นผลปีหน้าชัดเจน แต่ราคาเหมาะสมยังมองต่างมุม

สืบเนื่องจากทางการมาเลเซียมีนโยบายที่จะลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทดแทนให้ได้สัดส่วน 37% ในปี 2022-2040 ก่อนเดินหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้สอดรับกับเวทีโลก จึงทำให้เมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา ได้มีการจัดงานพิธีลงนามความร่วมมือเพื่อที่จะร่วมลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรในประเทศมาเลเซีย ระหว่างดาโต๊ะ Wira Justin Lim Hwa Tat กรรมการบริหาร Computer Forms (Malaysia) Berhad (CFM) และนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ (EA)   

โดยผู้บริหาร CFM ระบุว่า เล็งเห็นถึงความสามารถและความเชี่ยวชาญของ EA ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรในประเทศไทย ผ่านผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมเกี่ยวกับการคมนาคมแบบไร้มลพิษ ครอบคลุมทั้งการพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า สถานีบริการอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งมีเทคโนโลยีระบบ Ultra Fast Charge Technology สามารถอัดประจุไฟฟ้าสู่ยานยนต์ทุกชนิด 80% ในระยะเวลาเพียง 15-20 นาที จึงเชิญ EA เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อร่วมกันทำตลาดยานยนต์ไฟฟ้า และระบบอัดประจุไฟฟ้าในมาเลเซีย เพื่อสร้างปรากฎการณ์ใหม่ในการยกระดับระบบขนส่งด้วยยานยนต์ไฟฟ้า สร้างการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนเป็นฐานในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลกในอนาคต 

ขณะที่นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EA เปิดเผยว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับ CFM เพื่อร่วมลงทุนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนไร้มลพิษ นับเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดอีกครั้งหนึ่งของบริษัทฯ ที่ได้รับการยอมรับในการนำนวัตกรรม Ultra Fast Charge Technology ที่ผลิตในประเทศไทย ขยายสู่ตลาดขนส่งมวลชนของประเทศมาเลเซีย ก่อให้เกิดการร่วมลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ร่วมกันในอนาคต ก่อนขยายตลาดสู่ภูมิภาคเอเซียแปซิฟิค และตลาดโลกต่อไปในอนาคต 

สำหรับการร่วมลงทุนในครั้งนี้ ทาง EA จะลงทุนผ่านบริษัทย่อย EA Mobility Holding  โดยก้าวแรกของความร่วมมือกับ CFM จะช่วยบริษัทร่วมทุนทำตลาดยานยนต์ไฟฟ้า และระบบอัดประจุไฟฟ้าในมาเลเซีย โดยได้มีการลงนามในสัญญาจะซื้อขายรถโดยสารไฟฟ้าของกลุ่ม EA จำนวน 200 คัน ให้กับ Gemilang International Limited (GML) ผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะรายใหญ่ในมาเลเซีย ตลอดจนติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า Ultra-fast charge ที่ใช้เวลาอัดประจุเพียง 15-20 นาที เพื่อช่วยให้การเดินรถเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

สำหรับในระยะที่สอง จะมีการขยายตลาดคมนาคมขนส่งไฟฟ้าไปทั่วมาเลเซีย ผ่านผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม EA ทั้งรถโดยสารไฟฟ้า เรือไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้าในอนาคต รวมถึงร่วมกันศึกษาขยายฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในมาเลเซีย สร้างระบบคมนาคมขนส่งในตัวเมืองให้ปลอดมลพิษมากขึ้นอย่างยั่งยืน 

ความสำเร็จจากการขยายตลาดไปมาเลเซียครั้งนี้ ทำให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ขานรับการเติบโตทางธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้า (EV Bus) มากขึ้น แต่กลับมีการมองต่างมุมเรื่องราคาหุ้นเหมือนเช่นเคย

โดยฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส (ASPS) ยอมรับว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจ EV Bus มากขึ้น หลังเห็นสัญญาณการส่งมอบรถได้ตามเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น จำนวน 1.2-1.5 พันคัน ในปีนี้ และอีก 2.5-3.0 พันคัน ในปี 2566-67 ให้แก่กลุ่ม BYD  จึงปรับเพิ่มสมมติฐานการส่งมอบรถใหม่ ทำให้ปรับประมาณการกําไรปกติปีนี้และปีหน้าเพิ่มจากเดิม 10.8% และ 13.0% ส่งผลบวกต่อราคาหุ้น 5 บาท ทำให้มูลค่าพื้นฐานใหม่ปีนี้ อยู่ที่ 65 บาท เมื่อคิดรวมเฉพาะธุรกิจที่มีความชัดเจนในปัจจุบันเท่านั้น ประกอบด้วยธุรกิจเดิม ได้แก่ โรงไฟฟ้าและไบโอดีเซล กับธุรกิจแบตเตอรี่ phase 1 กําลังการผลิต 1 พัน MWh และธุรกิจ EV Bus อย่างไรก็ตาม แนะนำ "เปลี่ยนตัวเล่น" (Switch) เพราะราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวขึ้นเกินมูลค่าพื้นฐานธุรกิจที่แท้จริงไปมากแล้ว

ด้านฟินันเซีย ไซรัส (FSS) มองคล้ายๆ กันว่า EA จะได้แรงหนุนจากุรกิจ EV ในเร็ววันนี้ ผลักดันให้กำไรสุทธิปีนี้และปีหน้ามีการเติบโตในอัตราเร่ง ขานรับการส่งมอบ EV Bus ใน 2 ปีนี้ และการขยายกำลังการผลิตแบตเตอรี่จาก 1GWh เป็น 2GWh ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ ก่อนเพิ่มเป็น 4GWh ภายในปีหน้า จึงยกให้ EA เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงานหมุนเวียนของไทย จากแนวโน้มกำไรในเกณฑ์ดีของโครงการเติบโตสูงใหม่ พร้อมแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 101 บาท

ส่วนหยวนต้า (YUANTA) ชี้ว่า ปัจจุบัน EA มี Backlog สาหรับรถ EV Bus อยู่ที่ราว 3,000 คัน (คำสั่งซื่อหลักมาจากกลุ่ม BYD) โดยจะทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้ ไปจนถึงไตรมาส 2 ปีหน้า เมื่อประกอบกับการสั่งชิ้นส่วนจากจีนที่ทำได้ง่ายขึ้น จากสถานการณ์การแพร่ระบาดในจีนเริ่มคลี่คลาย และความเร็วในการผลิตของโรงงาน EV Bus ปัจจุบันที่ทำได้วันละ 7-8 คัน (หากเต็ม Capacity จะอยู่ที่วันละ 9-10 คัน) จึงคาดการส่งมอบรถ EV Bus จะมีความต่อเนื่องมากขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังปีนี้เป็นต้นไป

และเนื่องจาก EA ตั้งเป้าหมายส่งมอบรถ EV Bus ปีนี้จำนวน 1,200 คัน จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะเห็นการส่งมอบเร่งตัวสูงขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี ผลักดันให้กำไรปกติไตรมาสสุดท้ายปีนี้ มีโอกาสทำ New high เป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน

นอกจากนี้ EA ยังมีประเด็นบวกที่รออยู่คือการเปิดตัวรถกระบะ EV (EV Mini Truck) ในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะกลาง และยาว เนื่องจากเป็นกลุ่มรถที่มีการใช้งานแพร่หลายในประเทศ ทั้งในภาคขนส่งและภาคครัวเรือน อีกทั้งยังจะได้ประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนการผลิต EV ในประเทศเพิ่มเติมเข้ามาอีกด้วย (แต่ยังไม่คิดรวมไว้ในประมาณการ) จึงให้ราคาเหมาะสมปีหน้าที่ 107 บาท

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้