มอง PTTEP กำไรไตรมาส 3 peak สุดแล้ว แต่เก็งกำไรได้ ต่างชาติซื้อเพิ่ม ปันผลครึ่งหลังปีนี้เด่น กำไรปีหน้าโตแต่ต่ำกว่าปีนี้

2337 จำนวนผู้เข้าชม  | 

มอง PTTEP กำไรไตรมาส 3 peak สุดแล้ว แต่เก็งกำไรได้ ต่างชาติซื้อเพิ่ม ปันผลครึ่งหลังปีนี้เด่น กำไรปีหน้าโตแต่ต่ำกว่าปีนี้

หลังจาก บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท. สผ. (PTTEP) ประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้ มีกำไรสุทธิ  24,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) 17% และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) 153% ดีกว่าตลาดคาด 25% สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของยอดขาย โดยมียอดขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 2.8% QoQ และ 14.7% YoY มาอยู่ที่ 478,323 บาร์เรล หนุนโดยการรับรู้ยอดขายจากโครงการ G1, G2 เต็มตัวเป็นไตรมาสแรก และโครงการพัฒนาร่วมมาเลเซีย–ไทย (MTJDA) ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ (ASP) อยู่ที่บาร์เรลละ 53.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 3.5% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 21.3% YoY โดยราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเหลวลดลงตามทิศทางราคาน้มันดิบ แต่ได้ชดเชยจากราคาก๊าซฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้น 1.3% QoQ และ 7.3% YoY มาอยู่ที่ 6.2 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู

สำหรับรายการพิเศษ บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากรายการพิเศษลดลงจาก 1.6 พันล้านบาท ในไตรมาสก่อนหน้า เหลือ 1.1 พันล้านบาท จากผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ในการขายโครงการในบราซิล 2 โครงการ และค่าใช้จ่ายในการขุดเจาะที่ล้มเหลวจากโครงการในออสเตรเลีย และมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ก็ถูกชดเชยจากกำไรจากการ Hedging ทั้งราคาน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยนรวม

การเติบโตของกำไรไตรมาส 3 ถือเป็นกำไรรายไตรมาสที่สูงที่สุด หนุนให้กำไรสุทธิช่วง 9 เดือนปีนี้ อยู่ที่ 55,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 96% YoY พร้อมทั้งเพิ่มความเชื่อมั่นให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์สำนักต่างๆ มีมุมมองบวกต่อแนวโน้มกำไรไตรมาสสุดท้ายของปี ว่าจะยังโชว์กำไรโตต่อเนื่อง ทั้งจากยอดขายที่สูงขึ้น และราคาขายเฉลี่ยที่ยังแข็งแกร่ง โดยเสียงส่วนใหญ่มองว่า กำไรไตรมาส 3 peak สุดแล้ว ทำให้ไตรมาส 4 น่าจะยืนใกล้เคียงไตรมาส 3 ส่วนแนวโน้มกำไรปีหน้า คาดกันว่าจะโตลดลง จากราคาขายลดลงตามการอ่อนตัวของราคาน้ำมันดิบ  

ฝ่ายวิจัย เอเซีย พลัส (ASPS) คาดแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติไตรมาสสุดท้ายปีนี้ จะทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาส 3 เพราะคาดว่าราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเหลวจะปรับลงเล็กน้อย แต่น่าจะยืนได้เหนือบาร์เรลละ 90 ดอลลาร์สหรัฐฯ อ้างอิงราคาแหล่งดูไบ แต่สามารถชดเชยได้จากราคาขายก๊าซฯ ที่คาดจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู เพราะจะมีการปรับราคาขายก๊าซฯ ตามสัญญาของโครงการที่มีการปรับทุก 6 เดือน ในโครงการบงกช, G1 และ G2 และการปรับราคาขายของสัญญาที่มีการปรับราคาทุกปีในเดือนตุลาคม ได้แก่ โครงการคอนแทรกซ์ 4 และ MTJDA ซึ่งจะอิงราคาน้ำมันดิบย้อนหลังราว 12 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันขาขึ้น

ขณะที่ยอดขายคาดจะเพิ่มขึ้น 2.9% QoQ มาอยู่ที่วันละ 4.90 แสนบาร์เรล แต่ก็ถูกหักล้างกับต้นทุนต่อหน่วยที่คาดจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่บาร์เรลละ 30-31 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขายและการบริหารในไตรมาส 4 จะสูงกว่าไตรมาสอื่นๆ ของปี

คาดกำไรจากการดำเนินงานปกติปีนี้จะเติบโตสูงถึง 61.8% YoY มาอยู่ ที่ 7.0 หมื่นล้านบาท ส่วนปีหน้า คาดกำไรปกติจะลดลง 16.2% YoY มาอยู่ที่ 5.9 หมื่นล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบที่ลดลง (ฝ่ายวิจัยฯ ตั้งสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบ 3 ปีนี้ (2565-67) ที่บาร์เรลละ 100, 90 และ 75 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ) เช่นเดียวกับราคาขายก๊าซธรรมชาติปีหน้า ที่คาดจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 5.5-6.0 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู ส่วนหนึ่งเป็นผลจากโครงการ G1,G2 มีราคาขายก๊าซตามสัญญาค่อนข้างต่ำ เพียง 4.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู ดึงให้ราคาขายก๊าซฯ เฉลี่ยปรับลดลง ถึงแม้แนวโน้มยอดขายปีหน้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเป็นวันละ 4.8 แสนบาร์เรลก็ตาม จึงยังคงมูลค่าพื้นฐานปีหน้าที่ 178 บาท

เช่นเดียวกับฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ไพ (PI) ที่ให้ราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 179 บาท แต่แนะนำ "ถือ" ด้วยเหตุผลว่า การที่ราคาหุ้นในรอบปีนี้ (YTD) ปรับเพิ่มขึ้นมาถึง 47% ถือได้ว่าสะท้อนภาพการเติบโตของกำไรปีนี้ไปแล้ว ขณะที่แนวโน้มปีหน้าไม่สู้ดีนัก ด้วย upside ที่จำกัดทั้งจากยอดขาย และราคาขายที่ลดลง นับจากไตรมาส 4 ปีนี้เป็นต้นไป 

ส่วนฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHS) ชี้ว่า ผลดำเนินงานไตรมาส 3 ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงผู้บริหารบริษัทฯ ได้ปรับเป้าหมายยอดขายปีนี้เพิ่มขึ้นจากวันละ 4.65 แสนบาร์เรล มาเป็นเฉลี่ยวันละ 4.68 แสนบาร์เรล โดยคาดกำไรไตรมาสสุดท้ายอยู่ที่ระดับ 2.0 หมื่นล้านบาท ทำให้ปรับประมาณการกำไรปีนี้ และปีหน้าเพิ่ม 10% และ 12% ส่งผลให้ประเมินกำไรปีนี้้ ที่ 7.6 หมื่นล้านบาท เติบโต 95% YoY พร้อมทั้งปรับราคาเป้าหมายขึ้นเล็กน้อยเป็น 183 บาท สำหรับปีหน้า คาดกำไรจะอ่อนตัวลง 5% YoY เหลือ 7.1 หมื่นล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบที่ลดลง

อย่างไรก็ตาม การที่หุ้น PTTEP มีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติสุทธิจากต้นปี (YTD) สูงถึง 4.3% ทำให้สัดส่วนนักลงทุนต่างชาติล่าสุด เพิ่มจาก 12.4% เป็น 16.7% โดยเฉพาะ Citibank Nominees Singapore, GIC, HSBC และ Saudi Central Bank อีกทั้งแรงซื้อก็ยังคงมีอยู่แม้ราคาหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นมากก็ตาม จึงคาดว่าจะยังมีแรงซื้อหนุนหุ้น PTTEP ต่อเนื่อง จึงแนะนำ "ซื้อเก็งกำไร"ทั้งจากแนวโน้มผลดำเนินงานปีนี้ที่โดดเด่น และความสามารถทำกำไรที่สูงขึ้น ทำให้คาดหวังการจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้น รวมถึงโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ จากกระแสเงินสดที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ดาโอ (DAOL) กลับมองบวกมากที่สุด เมื่อยึดเป้าหมายที่ผู้บริหารให้ภาพระยะกลางเอาไว้ในเวทีประชุมนักวิเคราะห์ ว่า จะเห็นการเร่งตัวของกำลังการผลิตจากโครงการเอราวัณ ตั้งแต่กลางปีหน้า ขณะเดียวกัน บริษัทฯ จะพยายามเพิ่มกำลังการผลิตโครงการอื่นมาชดเชยปริมาณที่หายไป

ซึ่งล่าสุด PTTEP ได้ขยายการลงทุนในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) อย่างต่อเนื่อง โดยเข้าร่วมลงทุนในสัดส่วน 25% ในแปลงสำรวจปิโตรเลียมบนบก "ชาร์จาห์ ออนชอร์ แอเรีย เอ" ในรัฐชาร์จาห์ จากบริษัท อีเอ็นไอ นับเป็นการลงทุนใน UAE โครงการที่ 5 ของบริษัทฯ ตามกลยุทธ์ขยายการลงทุนในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพปิโตรเลียมสูงในตะวันออกกลาง 

นอกจากนี้ ผู้บริหาร PTTEP ยังระบุด้วยว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องตั้งสำรองด้อยค่าโครงการโมซัมบิค ถึงแม้จะมีความล่าช้าในการก่อสร้างโครงการ เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่พิจารณาคำขออนุมัติในการสำรวจและผลิตปิโตรลียม และก๊าซฯ แต่คาดว่าจะมีความชัดเจนในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้

ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ และปีหน้า ที่ 7.16 หมื่นล้านบาท และ 7.43 หมื่นล้านบาทตามลำดับ อิงสมมติฐานสำคัญ 3 เรื่อง คือ ยอดขายที่สูงขึ้นอยู่ในปีหน้า ราคาขายก๊าซฯ เฉลี่ยที่สูงขึ้น ระหว่าง 6.1-6.4 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู และราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ บาร์เรลละ100-105 ดอลลาร์สหรัฐฯ และแนะนำ "ซื้อ" โดยให้ราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 200 บาท โดยล่าสุด ซื้อขายกันที่ P/BV ปีหน้าระดับ 1.36 เท่า เทียบเท่า +1.0SD บนค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นอาจมี downside เกิดขึ้น หากต้องตั้งสำรองด้อยค่าโครงการโมซัมบิค

สำหรับราคาเป้าหมายเฉลี่ยล่าสุดของ PTTEP ที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์หุ้นกลุ่มพลังงานไทยประเมินไว้ ใน IAA Concencus อยู่ที่ 183.50 บาท 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้