โบรกประสานเสียง เก็บ TU ราคาถูกเกินไป เทียบการฟื้นตัวของกำไรปีหน้า ปีนี้ตามคาด

บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) รายงานผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปีนี้ ด้วยสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งด้านยอดขายและกำไรสุทธิ

โดยยอดขายอยู่ที่ 40,756 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตหลักจากยอดขายกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าขยายตัว 55.9% ส่วนยอดขายกลุ่มอาหารทะเลแปรรูปเพิ่มขึ้น 13.6% ขณะที่ยอดขายกลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นทรงตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน ประกอบกับบริษัทฯ มีการปรับสัดส่วนการขายระหว่างกลุ่มผลิตภัณฑ์ และยังได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า หนุนให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 792 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโต 30.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 2,530 ล้านบาท ถึงแม้จะมีส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม โดยเฉพาะ Red Lobster เป็นจำนวนเงิน 256 ล้านบาท

สำหรับผลดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ ยอดขายรวมทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 115,974 ล้านบาท เติบโต 13.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นการเติบโตในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า 42% กลุ่มอาหารทะเลแปรรูป 13% และกลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น 2% โดยมีกำไรขั้นต้น 20,338 ล้านบาท เติบโต 8.7% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 17.5% ถึงแม้ต้นทุนราคาวัตถุดิบหลักจะปรับขึ้นก็ตาม อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทฯ มีส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมสูงขึ้น และมีผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ทางการเงินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ อ่อนตัวลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 3% มาอยู่ที่ 5,899.8 ล้านบาท

โอกาสนี้ นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU ได้เล่าให้ฟังถึงความคืบหน้าของแผนลงทุนด้วยว่า น่าจะเห็นการเปิดดำเนินการของโรงงานใหม่ที่จังหวัดสมุทรสาคร 3 โรง คือ โรงงานผลิตอาหารพร้อมรับประทาน โรงงานผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสตและคอลลาเจนเปปไทด์ และโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกและขนมกินเล่น รวมถึงห้องเย็นเพื่อจัดเก็บอาหารทะเลแปรรูป พร้อมด้วยโรงบำบัดน้ำเสีย ในประเทศกาน่า อีก 1 แห่ง และน่าจะเห็นพัฒนาการของขยายธุรกิจอาหารทะเลที่ผลิตจากพืช ในตลาดอเมริกาเหนือ ซึ่งจะช่วยต่อยอดการเติบโตของธุรกิจในระยะต่อไป

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลับมองความน่าสนใจในการลงทุน TU อยู่ที่ Valuation ที่จูงใจ เพราะราคาหุ้นล่าสุด ซื้อขายที่ PER ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ 20 เท่า และยังมี catalyst จากการนำบริษัทลูก ITC (I-Tail Corporation) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในปีนี้ เพิ่ม Sentiment ในระยะสั้นๆ ด้วย จึงแนะนำ "ซื้อ” 

ค่ายเอเซีย พลัส (ASPS) บอกว่า แม้กำไรสุทธิไตรมาส 3 จะทำ New high รายไตรมาส โดยเพิ่มขึ้น 56% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และ 31% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) เพราะมีการบันทึกกำไรพิเศษสุทธิเข้ามาถึง 532 ล้านบาท หลักๆ เป็นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่แนวโน้มกำไรไตรมาสสุดท้ายของปี จะอ่อนตัวลงจากไตรมาส 3 ตามปัจจัยฤดูกาล อีกทั้งบริษัทฯ จะมีบันทึกผลขาดทุนจากการประเมินมูลค่ายุติธรรมของ Preferred shares ของ Red Lobster อีกราว 225 ล้านบาท ตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ เหมือนในไตรมาส 3 ดังนั้น จึงคาดกำไรสุทธิปีนี้จะลดลง 16% YoY ก่อนพลิกกลับมาเติบโต 7% YoY ในปีหน้า ตามการฟื้นตัวของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าเติบโต และ Red Lobster ทำให้ประเมินมูลค่าพื้นฐานปีหน้าได้ที่ 22 บาท อิงวิธี DCF และสามารถคาดหวังเงินปันผลในอัตรา 4-5% ได้อีก  

ขณะที่ไพ (PI) บอกว่า แม้กำไรไตรมาสสุดท้ายจะชะลอตัวลงจากไตรมาส 3 แต่ยังสูงกว่าในอดีต จึงปรับกำไรปีนี้ขึ้น 6% เป็น 7,545 ล้านบาท (-6% YoY) สำหรับปีหน้า คาดรายได้ยังคงเดิบโตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง และสินค้ามูลค่าเพิ่ม หลังจาก ITC เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มจากสายการผลิตของโรงงานใหม่ โดยประเมินกำไร (ยังไม่คิดผลบวกจาก ITC เพราะต้องรอดูราคา IPO ก่อน) ได้ที่ 7,560 ล้านบาท ทรงตัวจากปีนี้ และให้ราคาพื้นฐานที่ 24.3 บาท อิง PER ปีหน้าที่ 16 เท่า

ส่วนดาโอ (DAOL) คงประมาณการกำไรสุทธิปีนี้และปีหน้าที่ 7,877 ล้านบาท (-2% YoY) และ 8,022 ล้านบาท (+2% YoY) เมื่อตั้งสมมติฐานว่ารายได้ในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า กับกลุ่มอาหารทะเลแปรรูปมีการเติบโต ขณะที่รายได้จากกลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นทรงตัว หนุนให้รายได้ปีนี้อยู่ที่ 159 พันล้านบาท (+13% YoY) และปีหน้าที่ 168 พันล้านบาท (+6% YoY) ขณะที่คาดอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้และปีหน้า ที่ 17.9%  เพราะบริษัทฯ สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วยการปรับราคาขาย ทำให้คำนวณราคาเหมาะสมปีหน้าได้ที่ 24 บาท