GUNKUL พร้อมกลับมาเติบโตรอบใหม่ปีหน้า ระยะสั้น อาจมีแรงเก็งกำไรรับแผน PPA ฉบับใหม่

2512 จำนวนผู้เข้าชม  | 

GUNKUL พร้อมกลับมาเติบโตรอบใหม่ปีหน้า ระยะสั้น อาจมีแรงเก็งกำไรรับแผน PPA ฉบับใหม่

บมจ. กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) รายงานกําไรสุทธิงวดไตรมาส 3 ปีนี้ ที่ 1,539.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) 161.3% และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) 97.8% หนุนหลักจากรายการพิเศษขายหุ้น 50% ในกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานลมมูลค่า 1,337 ล้านบาท ให้กับบริษัทร่วมทุน กัลฟ์ กันกุล คอร์เปอเรชั่น

แต่หากตัดรายการดังกล่าว รวมถึงผลกำไรจากมูลค่าตราสารจากอนุพันธ์ และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนออกไป กําไรปกติจะอยู่ที่ 221.1 ล้านบาท ลดลง 50.3% YoY และลดลง 53.5% QoQ เนื่องจากรับรู้โรงไฟฟ้าพลังลมเต็ม 170 MW ได้ราว 1 เดือน อีกทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) มีรายได้ลดลงตามค่าความเข้มแสงที่อ่อนตัวตามฤดูกาล และงานติดตั้งโซลาร์ รูฟท๊อปลดลง รวมถึงธุรกิจกัญชง-กัญชาล่าช้า แม้ส่วนงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (EPC) ธุรกิจเทรดดิ้ง หรือธุรกิจบริการ (O&M) จะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ชดเชยไม่หมด

สำหรับกำไรสุทธิงวด 9 เดือนปีนี้ อยู่ที่ 1,739.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.33% YoY ขณะที่กำไรปกติอยู่ที่ ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 8,011.23 ล้านบาท ลดลง 36.1% YoY   

กระนั้น บริษัทฯ พร้อมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับงบการเงิน 9 เดือนแรกปีนี้ ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 6 สตางค์ ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 24 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 8 ธันวาคม

 

 

โอกาสนี้ ดร. สมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GUNKUL ชี้แจงว่า บริษัทฯ มีความมั่นใจในศักยภาพและภาพรวมธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่าจะมีการเติบโตของรายได้ 15% ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ ก่อนเติบโตต่อเนื่องในปีหน้า ขับเคลื่อนจากทั้งธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ธุรกิจ EPC รวมถึงธุรกิจกัญชง-กัญชา โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนแตะ 1,000 เมกะวัตต์ (MW) ภายในปีหน้า เพราะบริษัทฯ มีความพร้อมด้านการเงินที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ และพลังงานลม เช่นเดียวกับธุรกิจ EPC ที่พร้อมเข้าร่วมประมูลโครงการใหม่ๆ ที่จะเปิดให้ประมูลกว่า 50,000 ล้านบาท

สำหรับกลยุทธ์การทำธุรกิจระยะต่อไป GUNKUL พร้อมมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่แข็งแกร่ง รวมถึงพัฒนานวัตกรรมธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการเติบโตไปพร้อมๆ กับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่ง และก้าวสู่เป้าหมายให้เร็วยิ่งขึ้น 

สำหรับความเห็นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่รับว่า ผลดำเนินงานปกติในไตรมาส 3 เป็นไปตามคาด และน่าจะเห็นแนวโน้มกำไรปกติไตรมาสสุดท้ายปีนี้ลดลงต่อเนื่อง YoY จากการรับรู้ส่วนแบ่งรายได้โรงไฟฟ้าพลังงานลมเต็มไตรมาสลดลง 50% จากการขายหุ้น 50% ให้บริษัทร่วมทุน (JV) และรายได้จากธุรกิจกัญชง-กัญชา ที่รับรู้ล่าช้า ก่อนกลับมาเติบโตในปีหน้า และเติบโตโดดเด่นในระยะยาว

 



ค่ายดาโอ ปรับประมาณการกำไรปกติปีนี้และปีหน้า ลงมาที่ 1,135 พันล้านบาท (-44% YoY) และ 1,667 ล้านบาท (+47% YoY) ลดลงจากประมาณการเดิม 18% และ 6% ตามลำดับ สะท้อนแนวโน้มรายได้ EPC ที่จะรับรู้ในปีนี้ล่าช้า และรายได้ธุรกิจกัญชง-กัญชาที่รับรู้น้อยกว่าคาด หลังลูกค้าปลายน้ำชะลอการออกสินค้า ซึ่งจะทำให้รายได้รวมปีนี้ถูกปรับลดเหลือ 7,269 ล้านบาท (-13% YoY) และปีหน้าที่ 7,339 ล้านบาท (ทรงตัว YoY) ลดลงจากประมาณการเดิม 5% และ 3% ตามลำดับ ส่งผลให้ปรับราคาเป้าหมายปีหน้าลงจากเดิมที่ 6 บาท เหลือ 5.70 บาท อิงวิธี SOTP (แบ่งเป็นธุรกิจไฟฟ้าอิง DCF มูลค่า 3.00 บาท ธุรกิจ EPC ใช้ forward PER ที่ 30 เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ -0.5 SD สร้างมูลค่าต่อหุ้น 1.20 บาท และธุรกิจกัญชง-กัญชา อิง PER 40 เท่า คิดเป็นมูลค่า 1.50 บาท)

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ราคาหุ้นมีปัจจัยหนุนจาก key catalyst ทั้งการ JV กับ GULF ทำให้ winning rate ในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในอนาคตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ เปิดประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์กว่า 5 กิกะวัตต์ (GW) 

ด้านเอเซีย พลัส (ASPS) คาดว่ากําไรปกติไตรมาส 4 จะปรับตัวดีขึ้น QoQ หนุนจากกระแสลมที่คาดจะดีขึ้น QoQ ตามการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล อีกทั้งยังได้อานิสงส์จากรับรู้การปรับขึ้นค่า ft ในรอบเดือน ก.ย.- ธ.ค 2565 ได้เต็มที่ทั้งไตรมาส และธุรกิจ EPC ที่คาดจะรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นตามการส่งมอบงานในช่วงปลายปี แม้จะถูกกดดันจากกลุ่มโรงไฟฟ้า solar ที่ค่าความเข้มแสงอ่อนตัวตามช่วงฤดูกาล รวมถึงรับรู้สัดส่วนการถือหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานลม 170 MW ที่ลดลง 50% เต็มไตรมาสก็ตาม

อย่างไรก็ดี ภาพระยะสั้น ยังมีความเสี่ยงจากธุรกิจกัญชง-กัญชาที่ยังล่าช้ากว่าแผน จากข้อกําหนดทางกฏหมายที่ยังไม่ชัดเจน ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวขึ้นเกินมูลค่าพื้นฐาน ซึ่งไม่ได้คิดรวมมูลค่าส่วนเพิ่มจากโครงการ JV ร่วมกับ GULF ในอนาคต ที่ 5 บาท จึงแนะนํา ชะลอลงทุนช่วงสั้น

 

ส่วนบัวหลวง (BLS) มองว่า กำไรหลักไตรมาส 4 จะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ หนุนจากกำไรของธุรกิจกัญชง-กัญชา และอัตราค่าไฟที่สูงขึ้น กลบผลกระทบของการมีสัดส่วนการลงทุนที่ลดลงของฟาร์มกังหันลม 170 MW ได้ ทำให้ปรับประมาณการกำไรหลักปีนี้เป็น 1,767 ล้านบาท (-9.5% YoY)

อย่างไรก็ตาม ยังคงราคาเป้าหมายที่ 6.80 บาท ตามเดิม เพราะเชื่อว่า GUNKUL จะได้ผลประโยชน์จากอัตราค่าไฟที่เพิ่มขึ้นในปีหน้า และยังคงมีอัพไซด์จากการเติบโตในทุกธุรกิจในระยะยาว โดยมีความเป็นไปได้ว่า จะเห็นราคาหุ้นปรับขึ้นในเร็วๆ นี้ จากธีมการประมูล PPA โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 5 GW ซึ่งมีกำหนดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2566-73

ขณะที่หยวนต้า (YUANTA) มีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4 ว่า มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยถึงทรงตัว QoQ จากการลดสัดส่วนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลมจะมีผลเต็มไตรมาส และยังไม่มีกำลังการผลิตใหม่มาทดแทนได้ในช่วงสั้น แต่คาดรายได้จากธุรกิจกัญชง-กัญชา ที่คาดว่าจะเข้ามามากที่สุดของปี จะช่วยประคองรายได้ได้ระดับหนึ่ง ทำให้กำไรปกติปีนี้ยังอยู่ในกรอบประมาณการที่ 1,221 ล้านบาท และปีหน้าที่ 1,785 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาโครงการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศราว 50–80 MW และโครงการอื่นๆ อีกระหว่างปี

แนะนำ รอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว เพื่อรอรอบการเก็งกำไรที่จะเกิดจากแผนรับซื้อไฟ 5 GW เข้ามา และคงราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 5.90 บาท เท่ากับราคาเฉลี่ยอ้างอิงจาก IAA Concencus

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้