2281 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) รายงานผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปีนี้ สรุปได้ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 258 ล้านบาท ลดลง 83% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ซึ่งเป็นผลจากการปรับเปลี่ยนนโยบายของภาครัฐในการปรับลด และยกเลิกการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโควิด รวมถึงจำนวนผู้ป่วยโควิดที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบช่วงก่อนหน้านั้น โดยลดลงถึง 2,775.07 ล้านบาท หรือสูงถึง 95% YoY ส่งผลให้รายได้รวมลดลง 54% YoY เหลือ 2,026 ล้านบาท และกดดันให้ผลดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 2,493 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 4% YoY ตามการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้น 7% YoY มาอยู่ที่ 8,591 ล้านบาท
นพ.กำพล พลัสสินทร์ ประธานกรรมการบริหาร ชี้แจงว่า ผลดำเนินงานไตรมาส 3 ที่ลดลง น่าจะเป็นเพียงภาวะชั่วคราว เพราะหากมองภาพรวมรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาลตลอด 9 เดือนปีนี้ ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ทั้งรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) หรือผู้ป่วยใน (IPD) ที่ยังเติบโต 6% ขับเคลื่อนโดยจำนวนผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่กลับเข้ามารับบริการมากขึ้น เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ เช่นเดียวกับรายได้จากโครงการประกันสังคมที่ยังขยายตัว 21% ตามจำนวนผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้น และการกลับมารักษาของผู้ป่วยในที่มีค่าใช้จ่ายสูง รวมถึงรายได้จากการรับจ้างบริหารงานให้โรงพยาบาลภาครัฐ ที่เพิ่มขึ้น 11% ทำให้คาดว่าภาพรวมผลดำเนินงานปีนี้จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง เพราะรายได้จากบริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิดยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ผลดำเนินงานไตรมาส 3 ที่ต่ำกว่าตลาดคาด ทำให้นักวิเคราะห์หัลักทรัพย์สำนักต่างๆ ปรับลดประมาณการรายได้ และกำไรปีนี้ลงมา แต่กลับยังคงราคาเหมาะสมไว้ตามเดิม เพราะยังเชื่อมั่นในแนวโน้มระยะยาว
โดยอินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ปรับประมาณการกําไรปีนี้ลง 10% เพื่อให้สะท้อนรายได้จากบริการโควิดที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง จะกดดันให้กำไรของ CHG เข้าสู่แนวโน้มขาลง YoY ตั้งแต่ครึ่งหลังปีนี้ไปจนถึงครึ่งแรกปีหน้า อย่างไรก็ตาม การที่รายได้จากบริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิด ยังมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทฯ ขยายธุรกิจสู่การบริหารโรงพยาบาลภาครัฐ และการให้บริการโรคหัวใจ จึงยังคงประมาณการกำไรปี 2566-67 ไว้ตามเดิม ส่งผลให้คงราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 4 บาท ตามเดิม และแนะนำรอจังหวะลงทุนเมื่อกําไรของบริษัทฯ กลับสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้งในครึ่งหลังปีหน้า
ส่วนบัวหลวง (BLS) ปรับลดประมาณการกำไรหลักปีนี้ และปีหน้าลง 4% และ 52% YoY เหลือ 3.1 พันล้านบาท และ 1.5 พันล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิดลดลง และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายเพิ่มขึ้นกดดันให้อัตรากำไรหลักปีนี้ และปีหน้าลดลง YoY มาอยู่ที่ 28.1% และ 17.4% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของราคาหุ้นมาแกว่งบริเวณ 3.40 บาท ขณะนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดถูกรายงานไว้ในงบการเงินไตรมาส 3 หมดแล้ว จึงปรับคำแนะนำจาก "ถือ" เป็น "ซื้อ" โดยให้ราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 4.30 บาท
ขณะที่เคจีไอ (KGI) บอกว่า ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของ CHG ในระยะยาว ทำให้คงประมาณการกําไรปีนี้และปีหน้าตามเดิมที่ 2.86 พันล้านบาท (-31.9% YoY) และ 1.63 พันล้านบาท (-43.0% YoY) ตามลำดับ แต่มองว่าประมาณการกําไรยังมี downside อีก จากการเติบโตของรายได้จากบริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิด และประสิทธิภาพในการคุมค่าใช้จ่าย (SG&A) จึงคงคำแนะนํา "ซื้อ" โดยให้ราคาเป้าหมาย DCF ไว้ที่ 4.50 บาท