2445 จำนวนผู้เข้าชม |
นายกิตติพงษ์ เลิศวนางกูร กรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า (FNS) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของ บมจ. เมคทูวิน โฮลดิ้ง (MTW) ผู้ผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูป กับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้เครื่องหมายการค้า DECO บอกว่า พร้อมเสนอขายหุ้นจำนวน 87 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.82% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ ในราคาหุ้นละ 2.88 บาท เทียบมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ผ่านบริษัทฯ และผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 1 ราย คือ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า ประเทศไทย (YUANTA) ระหว่างวันที่ 25 - 29 พฤศจิกายนนี้
"การกำหนดราคา IPO ที่ 2.88 บาท ใช้วิธีประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ด้วยวิธีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ หรือ P/E ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิ 12 เดือนย้อนหลัง (วันที่ 1 ตุลาคมปีที่แล้ว ถึงวันที่ 30 กันยายนปีนี้) เท่ากับ 19.98 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ 337 ล้านหุ้น จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.059 บาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 48.58 เท่า ซึ่งถือเป็นราคาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน" นายกิตติพงษ์ ชี้แจง
ขณะที่นายกฤตเมธ ตั้งพิชญโพธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เมคทูวิน โฮลดิ้ง (MTW) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เริ่มต้นธุรกิจด้วยการรับจ้างผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (OEM) ก่อนจะเริ่มทำแบรนด์ของตนเอง โดยมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ มากว่า 20 ปี โดยเน้นขายส่งเสื้อผ้าสำเร็จรูปผ่านช่องทางจำหน่ายหลักบริเวณตลาดโบ๊เบ๊และประตูน้ำ เพื่อให้ผู้ค้าส่งนำสินค้าไปจำหน่ายแก่ลูกค้าปลายทางอีกทอดหนึ่ง และขายปลีกผ่านหน้าร้านที่ปัจจุบันมี 2 สาขา โดยกำหนดราคาขายส่งจากจำนวนการซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป ตั้งแต่ 6 ชิ้นขึ้นไป ปัจจุบันมีกำลังการผลิตปีละ 1.8 ล้านตัว
และเมื่อเล็งเห็นว่า พลังงานทางเลือกจะมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ในอนาคต บริษัทฯ จึงเริ่มต้นทำธุรกิจรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) ด้วยการจัดจั้งบริษัท เดโก้ กรีน เอนเนอร์จี (DECO) โดยถือหุ้นในสัดส่วน 85% ของทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว เพื่อผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยกำลังการผลิตปีละ 11,500 คัน และจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ จนโครงสร้างรายได้หลักของบริษัทฯ มาจากธุรกิจ BEV ตั้งแต่ปี 2563 เรื่อยมา
โดยผลดำเนินงานปี 2563 MTW มีรายได้รวม 174.88 ล้านบาท ก่อนเพิ่มเป็น 214.17 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา ตามการขยายตัวของธุรกิจ BEV ที่เร่งตัวจาก 92.84 ล้านบาท (มีสัดส่วน 53.38%) เป็น 123.01 ล้านบาท (มีสัดส่วน 57.44%) ขณะที่งวด 9 เดือนแรกปีนี้มีรายได้รวมที่ 152.13 ล้านบาท มาจากธุรกิจ BEV 82.72 ล้านบาท (มีสัดส่วน 53.38%)
สำหรับกำไรสุทธิ ปี 2563 อยู่ที่ 17.35 ล้านบาท ก่อนเพิ่มเป็น 236.54 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา ขณะที่งวด 9 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 9.33 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 15.70 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการที่ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อรอดูความชัดเจนของมาตรการสนับสนุนด้านยานยนต์ไฟฟ้าจากกรมสรรพสามิต ซึ่งเมื่อมีความชัดเจน น่าจะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุน หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องประมาณ 250.56 ล้านบาท ไปใช้ลงทุนในธุรกิจ BEV ผ่าน DECO ทั้งหมด หลังชำระคืนหนี้สถาบันการเงินจำนวน 72 ล้านบาท แบ่งเป็นการชำระค่าก่อสร้างอาคารโรงงานและสำนักงาน 53 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ 60 ล้านบาท ที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ จะช่วยปลดล็อกศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวของบริษัทฯ ทั้งเพื่อการขยายธุรกิจตามนโยบายและแผนงานที่วางไว้ และการมีความพร้อมของเงินทุนรองรับโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดตามมาอีกมากมายในอนาคต หนุนให้บริษัทฯ มีศักยภาพการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีคืนกลับผู้ถือหุ้นในที่สุด
ส่วนนายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน พูดถึงจุดเด่นของ MTW ว่า การรุกเข้าสู่ธุรกิจรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) ถือเป็นธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยม และได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยสินค้าของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนมากถึง 8 รุ่น ได้แก่ HANNAH, SOFIA, LUCIANO, DOUBLEACE, G-FIVE, SUSU, SUPERACE และ TAITAN อีกทั้งการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai เพื่อเพิ่มศักยภาพในธุรกิจ BEV จะช่วยผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ทำให้เชื่อมั่นว่า นักลงทุนจะให้การตอบรับอย่างอบอุ่น ทั้งการเปิดขาย IPO และการเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) วันที่ 6 ธันวาคมที่จะถึงนี้