2529 จำนวนผู้เข้าชม |
นางศิริพร เหล่ารัตนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บมจ. หลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย (KGI) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญของ บมจ. สตาร์ มันนี่ (SM) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 300 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ในราคาหุ้นละ 2.04 บาท เทียบราคาพาร์ที่ 50 สตางค์ ผ่านบริษัทฯ และผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นอีก 4 ราย ได้แก่ บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง (KTX) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (SPS) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า ประเทศไทย (YUANTA) ระหว่างวันที่ 8-9 และ 13 ธันวาคมนี้ คาดว่า จะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหมวดธุรกิจการเงิน (Finance) วันที่ 20 ธันวาคมที่จะถึงนี้
โดยการตั้งราคา IPO ใช้วิธีประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ด้วยวิธีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) คำนวณจากกำไรสุทธิช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนปีที่แล้ว ถึงวันที่ 30 กันยายนปีนี้ ซึ่ง SM มีกำไรสุทธิ 94.60 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ หลังจากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ จำนวน 800 ล้านหุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น ที่หุ้นละ 0.12 บาท คิดเป็น P/E เท่ากับ 17.25 เท่า ซึ่งถือเป็นราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ และเหมาะสมกับภาวะตลาด เพราะอยู่ต่ำกว่า P/E เฉลี่ยของบริษัทเทียบเคียงในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ช่วง 12 เดือนย้อนหลัง ซึ่งอยู่ที่ 29.71 เท่า
สำหรับจุดเด่นของ SM อยู่ที่โอกาสในการเติบโตที่แข็งแกร่ง เพราะการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างเงินทุนให้บริษัทฯ นำมาใช้ขยายธุรกิจใน 3 ปีข้างหน้า (2566–68) ด้วยการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์สินเชื่อทางการเงินใหม่ๆ ที่หลากหลาย พร้อมทั้งขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการตามจังหวัดสำคัญของประเทศ โดยอาศัยจุดแข็งจากประสบการณ์ และสายสัมพันธ์ที่ดีในภาคตะวันออกมายาวนานกว่า 30 ปี ช่วยขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งภาคตะวันออก ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงรับการขยายตัวของเขตพัฒนาพิเศษทางเศรษฐกิจ (EEC) หนุนให้กำลังซื้อขยายตัวสูงขึ้น ผลักดันให้ SM สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
โอกาสนี้ นายชูศักดิ์ วิวัฒน์วงศ์เกษม กรรมการผู้จัดการ SM เสริมว่า การเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนนอกจากจะยกระดับมาตรฐานของบริษัทฯ ให้เป็นมาตรฐานสากล เพิ่มความน่าเชื่อถือด้านภาพลักษณ์ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและคู่ค้าแล้ว ยังจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น ผ่านการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 583 ล้านบาท ไปใช้เพื่อขยายสาขา ขยายธุรกิจให้บริการสินเชื่อทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อรายย่อย แบบมีหลักประกัน ทั้งสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ รถยนต์ รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รถใช้งานเพื่อการเกษตร สินเชื่อที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือการขายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ตู้แช่ รถจักรยานยนต์ ทั้งในรูปแบบขายเงินสดและขายผ่อน ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อย่างธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย และประกันชีวิต จำนวน 409 ล้านบาท นำไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน 146 ล้านบาท ที่เหลือ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต
ส่วนผลดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้ SM มีรายได้รวม 1,066.84 ล้านบาท เติบโต 12.09% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้าสูงที่สุด ถึง 61.87% รายได้ดอกเบี้ยจากสัญญาเช่าซื้อ 5.86% รายได้ดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืม 28.28% และมีรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการ และอื่นๆ อยู่ที่ 3.99% ขณะที่สัดส่วนหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ในระดับใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมที่ 4.48%
อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิงวด 9 เดือนปีนี้ กลับปรับลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 9.40% มาอยู่ที่ 80.79 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายส่วนของพนักงานเพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาตลอด 3 ไตรมาสปีนี้ อีกทั้งมีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน เพื่อมาขยายพอร์ตสินเชื่อ ทำให้คาดว่า ผลดำเนินงานปีนี้จะใกล้เคียงปีที่ผ่านมา ที่มีกำไรสุทธิ 102.94 ล้านบาท ก่อนกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่นในปีหน้า หนุนโดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเขต EEC และการมีเงินทุนต่อยอดการเติบโต รวมถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต