หุ้นได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว ยังมีตัวไหนน่าสนบ้าง?

2924 จำนวนผู้เข้าชม  | 

หุ้นได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว ยังมีตัวไหนน่าสนบ้าง?


การประกาศเปิดประเทศของจีน ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมเป็นต้นไป ถือว่าเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าจะเริ่มเปิดประเทศในไตรมาส 2 ปีนี้ ทำให้หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวจีนมีน้ำหนักต่อการท่องเที่ยวไทยในสัดส่วนสูง จนราคาหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ และสร้างคำถามตามมาว่า หุ้นกลุ่มนี้ยังน่าสนใจลงทุนหรือไม่   

ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส (ASPS) บอกว่า เมื่อพิจารณาภาพนักท่องเที่ยวโซนเอเซียเหนือที่เดินทางมาไทย ตั้งแต่ไทยเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ( ก.ค.- พ.ย. ที่ผ่านมา) เทียบช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด (Pre-COVID) จะพบว่า มีการไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ มีการเดินทางเพิ่มจาก 36% ของช่วง Pre-COVID เป็น 59% เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่เดินทางเพิ่มจาก 21% ของช่วง Pre-COVID เป็น 30% ดังนั้น จึงมั่นใจว่า การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนจะทยอยไต่ระดับในรูปแบบเดียวกัน ทำให้คาดว่าจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2566

โดยหากประเมินการฟื้นตัว ที่ระดับ 40-50% ของช่วง Pre-COVID จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยราว 4.4–5.5 ล้านคน ทำให้อาจเปิด Upside ต่อประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยปี 2566–67 เป็น 20–30 ล้านคน ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยว โดยเฉพาะหุ้นที่มีโครงสร้างรายได้จากไทยเป็นหลัก นำโดยสนามบินที่เป็นประตูสู่ประเทศไทย AOT ตามด้วย ERW ที่มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 90% CENTEL มีสัดส่วนรายได้ราว 34% (มัลดีฟส์ 7% และร้านอาหาร 59%)

สำหรับ Top pick เลือก AOT (ราคาเป้าหมาย 80 บาท) และ CENTEL (ราคาเป้าหมาย 54 บาท) จากจุดแข็งเชิงของโครงสร้างทางการเงินค่อนข้างแกร่ง ผ่านสัดส่วน IBD/E ต่ำกว่า 1 เท่า ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็ก เลือก ERW (ราคาเป้าหมาย 5.10 บาท) เพราะมีสัดส่วนรายได้จากในประเทศสูงที่สุดในกลุ่มโรงแรม

ส่วน MINT (ราคาเป้าหมาย 38 บาท) สัดส่วนรายได้มาจาก NH Hotel ราว 50% และร้านอาหารประมาณ 18% ของรายได้ทั้งหมด จึงได้ประโยชน์น้อยสุดในกลุ่ม แต่เนื่องจากการฟื้นตัวของโรงแรมใน EU เกิน Pre-COVID ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีก่อนแล้ว อีกทั้งโครงสร้างธุรกิจมีการกระจายตัว รวมถึงราคาหุ้นยัง laggard กลุ่มโรงแรม จึงแนะนำ "ซื้อ"

ส่วนฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ดาโอ (DAOL) สรุปประเด็นว่า จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยปีนี้ 5 ล้านคน ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ผลประโยชน์ที่จะได้จากนักท่องเที่ยวจีน คัดได้หุ้น Top picks 9 ตัว ได้แก่ CENTEL (ราคาเป้าหมาย 54.00 บาท), AAV (ราคาเป้าหมาย 3.70 บาท), BAFS (ราคาเป้าหมาย 35.00 บาท) AOT (ราคาเป้าหมาย 82.00 บาท), ERW (ราคาเป้าหมาย 5.20 บาท), SPA (Bloomberg consensus 11.82 บาท), EKH (ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท), SNNP (ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท) และ WHA (ราคาเป้าหมาย 4.60 บาท) ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

- CENTEL ได้ประโยชน์จากรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนอยู่ที่ 10%
- AAV  ได้ประโยชน์จากผู้โดยสารจีนเพิ่มขึ้น และมีโอกาสที่จีนจะเพิ่มโควต้าเที่ยวบินเพิ่มในอนาคต โดยปัจจุบัน AAV มี 2 เที่ยวบิน/สัปดาห์) โดยสถานการณ์ปกติสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน 25%
- BAFS ได้ผลบวกจากแนวโน้มเที่ยวบินจีนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะหนุนปริมาณเติมน้ำมันอากาศยาน โดยมีสัดส่วนรายได้จากเที่ยวบินจีนราว 10-15%
- AOT จะได้ประโยชน์จากการที่บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนอยู่ที่ 15%
- ERW จะได้ประโยชน์จากรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนสูงที่สุดในกลุ่มโรงแรม อยู่ที่ 12%
- SPA  มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน 50-55%
- EKH จะได้ประโยชน์จากการเข้ารับบริการศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) โดยเดิมมีสัดส่วนรายได้ของจีนราว 10% จากเป้าหมายที่บริษัทฯ ตั้งเป้ามีลูกค้ามาใช้บริการประมาณ 300 คู่ ในปีนี้ ซึ่งการที่จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด จะเป็น upside ให้กับรายได้ของ IVF
- SNNP จะได้ประโยชน์จากสัดส่วนรายได้นักท่องเที่ยวจีน 8% ของรายได้รวม
- WHA จะได้ประโยชน์จากลงทุนที่จะเดินทางเข้าไทยมากขึ้น บวกต่อยอด presale

 

 

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมและท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในปีนี้ แต่ราคาหุ้นถูกซื้อขายบนความคาดหวังล่วงหน้าไปมากแล้ว ทำให้ยูโอบี เคย์เฮียน (UOBKH) และหยวนต้า (YUANTA) แนะกลยุทธ์ลงทุนไปที่หุ้นที่ Valuation ไม่แพง อย่าง SHR เป็นหุ้นเด่น ขณะที่หุ้นขนาดเล็กเลือก VRANDA   

โดย UOBKH แนะนำ VRANDA (ราคาเป้าหมาย 10.20 บาท) เพราะราคาหุ้นยังคง Laggard กลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยว อีกทั้งยังคาดหมายว่างบไตรมาสสุดท้ายปีก่อนอาจออกมาดีกว่าคาด ทำให้นักลงทุนอาจกลับมาให้ ความสนใจอีกครั้ง โดยเมื่ออ้างอิงข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่ งประเทศไทย (ท.ท.ท) ที่คาดการณ์ว่ารายได้ จากท่องเที่ยวปีนี้จะมีสัดส่วนราว 80% ของรายได้จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด (Pre-COVID) หนุนโดยนักท่องเที่ยวที่เป็น upper income มียอดการใช้จ่ายที่สูง รวมถึง Medical Tourism ส่งผลดีต่อโรงแรมในกรุงเทพ อย่าง SO Bangkok ให้ฟื้นตัวอย่างโดดเด่น และ turn around โดยมีความเป็นไปได้ว่าจะกลับไปเหนือกว่าระดับ Pre-COVID ด้วย Occ rate ที่สูงกว่า 80% ขณะที่คาดรายได้โรงแรมรวมปีนี้จะเติบโตมากกว่า 20%

สำหรับปีถัดไป บริษัทฯ ยังมีปัจจัยหนุนจากการเปิดตัวโครงการ Veranda Phuket ที่มีการร่วมมือกับ เครือ Marriott โดยใช้ชื่อแบรนด์ Autograph Collection คาดจะดำเนินการได้ในไตรมาส 4 ปีหน้า โดยแบรนด์ Autograph Collection จัดอยู่ในแบรนด์ระดับ Premium ซึ่งเป็นระดับเดียวกับ Sheraton, Westin และ Renaissance ซึ่งรองลงมาจากระดับบนสุดคือ Luxury ประกอบด้วยแบรนด์ JW Marriott, W Hotel และ ST Regis โดยความร่วมมือนี้จะช่วยดึ งนักท่องเที่ยวที่เป็นสมาชิกใน Marriott Bonvoy เข้ามา และเป็นที่รู้จักสำหรับนักท่ องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นในระยะต่อไป เช่นเดียวกับโครงการที่มีศักยภาพที่เขาใหญ่ ซึ่งเดิมมีโรงแรมในแหล่งท่องเที่ ยว เช่น เชียงใหม่, พัทยา ชะอำ-หัวหิน, สมุย และ ภูเก็ต

ส่วน YUANTA แนะ SHR (ราคาเป้าหมาย 4.70 บาท) เพราะราคาหุ้นซื้อขาย บน EV/EBITDA ปีนี้ที่ 10.2 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 19.4 เท่า และซื้อขาย บน P/BV ปีนี้ที่ 0.9 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 2.7 เท่า นอกจากนี้ราคาหุ้นยังต่ากว่าราคา IPO ที่ 5.20 บาท ทั้งๆ ที่บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการสร้างโรงแรมในมัลดีฟส์แล้ว และมีผลดำเนินงานที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังได้ซื้อสัดส่วนโรงแรมใน UK เพิ่มขึ้นอีก 50% จึงมองว่าไม่สมเหตุสมผลที่หุ้นจะถูกซื้อขายด้วย Discount ที่สูงจากกลุ่มอีกต่อไป ขณะที่ให้ราคาเป้าหมาย VRANDA ที่ 8.80 บาท

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้