ทยอยปรับราคาเป้าหมาย BCP ขึ้นเหนือ 40 บาท หลังดีลซื้อกิจการ ESSO ต่ำกว่าราคาตลาด

2773 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ทยอยปรับราคาเป้าหมาย BCP ขึ้นเหนือ 40 บาท หลังดีลซื้อกิจการ ESSO ต่ำกว่าราคาตลาด


นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเอกฉันท์อนุมัติการเข้าทำธุรกรรม และเห็นชอบให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญ บมจ. เอสโซ่ ประเทศไทย (ESSO) จากบริษัท เอ็กซอน โมบิล โฮลดิ้ง เอเซีย (ExxonMobil) ทำให้บริษัทฯ มีการลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น ESSO จาก ExxonMobil จำนวน  2,283.75 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา

แต่เนื่องจากมีหลักเกณฑ์ และขั้นตอนในการพิจารณาจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า รวมถึงการขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นทั้ง 2 บริษัท ที่ต้องปฏิบัติตาม ทำให้คาดว่า ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นจะแล้วเสร็จภายในครึ่งหลังปีนี้ จึงยังไม่มีการกำหนดราคาสุดท้าย แต่ให้กรอบไว้ที่หุ้นละ 8-10 บาท แต่คาดว่ามูลค่าการซื้อกิจการจะอยู่ที่ 3.0-3.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งทาง BCP ได้วางแผนทางการเงินไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยจะใช้เงินทุนทั้งจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ และการกู้ยืมสถาบันการเงิน และหลังจากธุรกรรมการซื้อขายหุ้นเสร็จสิ้นลงไป ทาง BCP จะทำคำเสนอซื้อหุ้น (Tender Offer) ส่วนที่เหลืออีก 34.01% จากผู้ถือหุ้น ในราคาเดียวกับที่ซื้อจาก ExxonMobil ต่อไป และในเบื้องต้น ยังไม่มีแผนเพิกถอน ESSO ออกจากตลาดทุนแต่อย่างใด

การลงทุนครั้งนี้มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง คือ โรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่นวันละ 174,000 บาร์เรล เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ซึ่งจะทำให้ BCP มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวมเพิ่มเป็นวันละ 294,000 บาร์เรล และมีเครือข่ายสถานีบริการเพิ่มเป็น 2,100 แห่ง สามารถดำเนินธุรกิจโรงกลั่นได้ครบวงจรมากขึ้น จัดหาน้ำมันดิบได้หลากหลายขึ้น และได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการกลั่นที่เสริมกันของทั้ง 2 โรงกลั่น ก่อให้เกิดการประหยัดจากขนาด ช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้กับ BCP รวมถึงช่วยให้ BCP สามารถวางแผนการตลาด และนำเสนอบริการให้กับลูกค้าได้หลากหลายและมากขึ้น ก่อให้เกิดการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสู่ลูกค้า และเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่มบางจาก ในการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

สำหรับกลุ่ม Exxon Mobil แม้จะเลิกการทำธุรกิจโรงกลั่น และสถานีบริการน้ำมันในไทยแล้ว แต่จะยังคงทำธุรกิจนำเข้าผลิตภัณฑ์หล่อลื่นและเคมีภัณฑ์ในประเทศไทยต่อไป




ในมุมมองนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ทุกสำนักคิดตรงกันว่า ดีลซื้อ ESSO จะส่งผลดีต่อ BCP ค่อนข้างมาก ในแง่ปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น เพราะหลังการควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน BCP จะมีกำลังการกลั่นน้ำมันสูงที่สุดในประเทศ และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดสถานีบริการกลับขึ้นไปเป็นอันดับ 2 รองจาก บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ทำให้เกิดประโยชน์ร่วมในการดำเนินงานได้ในเวลาที่รวดเร็ว

ค่ายไพ (PI) บอกว่า ดีลซื้อกิจการครั้งนี้ จะกระตุ้นกำไรต่อหุ้น (EPS) ของ BCP ได้มากถึง 60% จาก synergy ที่จะเกิดในระยะสั้น โดยผู้บริหาร BCP ให้ข้อมูลว่า บริษัทฯ น่าจะรับรู้รายได้การดำเนินงานก่อนหักภาษีจากประโยชน์ร่วมปีละ 1.5-2.0 พันล้านบาท โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนแต่อย่างใด เพราะมีแหล่งเงินทุนจากการกู้ยืม และกระแสเงินสดในมือกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท เพียงพอที่จะคุมหนี้ต่อทุน (D/E) ให้อยู่ในระดับที่บริษัทฯ วางแผนไว้ ดังนั้น เมื่อตั้งสมมติฐานว่ามูลค่าการซื้อกิจการอยู่ที่ 3.0-3.3 หมื่นล้านบาท และผลประโยชน์จากการ synergy เป็นไปตามที่ผู้บริหารคาดการณ์ไว้ ทำให้ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 42 บาท อิง P/BV ปีนี้ที่ 1 เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม

ด้านอินโนเวสท์ เอ็กซ์ (InnovestX) เชื่อว่า การซื้อกิจการจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ BCP จาก synergy ในการดําเนินงานและการตลาด หนุนให้ราคาเป้าหมายของ BCP ปรับเพิ่มขึ้น 17-18 บาท คิดเป็นราคาเป้าหมายที่ 44 บาท และพร้อมทบทวนประมาณการใหม่อีกครั้งหลังการซื้อกิจการแล้วเสร็จ เพราะเชื่อว่า จะเห็น synergy ที่เด่นชัดขึ้น

ขณะที่โนมูระ พัฒนสิน (CNS) มองบวกต่อภาพระยะสั้น เมื่อเทียบกับกระแสข่าวก่อนหน้านี้ เพราะราคาในการเข้าซื้อ ESSO ต่ำกว่าที่คาดการณ์กันไว้ที่ 12-14 บาท ส่งผลให้แรงกดดันต่อฐานะการเงินของ BCP ดีขึ้นจากที่เคยกังวลว่า จะทำให้สัดส่วนหนี้ต่อทุนเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นตึงตัว ส่วนภาพระยะยาว มองบวกเช่นกัน เพราะบริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจได้รวดเร็ว จากกำลังการผลิตน้ำมันมากที่สุดในประเทศ และการเพิ่มสถานีบริการน้ำมันได้ทันที 59% นอกจากนี้ ยังจะสามารถต่อยอดสินค้าน้ำมันหล่อลื่น บริการซ่อมรถยนต์ รวมถึงการเพิ่มศักยภาพในการขนส่งระยะยาว




ในเบื้องต้น มองการซื้อ ESSO จะสร้าง upside ต่อกำไรปกติปีหน้าให้ BCP ได้ราว 74% หรือประมาณ 5,827 ล้านบาท เมื่อใช้สมมติฐานว่า BCP ใช้เงินกู้ 100% ที่อัตราดอกเบี้ย 2% เพราะคาดแนวโน้มธุรกิจ 2 ปีนี้ สดใสขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้านี้ อีกทั้งประเมินว่าค่าการกลั่นช่วง 2 ปีนี้ อยู่ในระดับสูงเฉลี่ยที่บาร์เรลละ 6-8 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากความต้องการใช้น้ำมันอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากสถารการณ์โควิด ส่วนธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน น่าจะฟื้นตัวทั้งจากยอดขายน้ำมัน และยอดขายจากร้านค้าของกลุ่มบริษัท รวมถึงรายได้จากค่าเช่าภายในสถานีบริการน้ำมันที่เพิ่ม ทั้งจากภาวเศรษฐกิจ และจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจของบริษัทลูก ทั้ง BCPG และ BBGI น่าจะมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ช่วยเพิ่มรายได้จากเงินลงทุน คิดเป็นราคาเป้าหมายที่ 50 บาท

ส่วนฟิลลิป (PLS) ระบุว่า การที่โรงกลั่น ESSO ตั้งอยู่ที่ศรีราชา และมีท่าเรือที่สามารถรองรับเรือขนส่งน้ำมันขนาดใหญ่ได้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดหาน้ำมันดิบ การเพิ่มกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำมัน และการขนส่งน้ำมันให้มีความกว้างกวางมากขึ้น นอกจากนี้ ยังจะช่วยลดการนำเข้าส่วนผสมของน้ำมันเบนซิน และทำให้การบริหารสต๊อกน้ำมันสำเร็จรูปทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการช่วยสนับสนุนให้ บมจ. บีบีจีไอ (BBGI) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง BCP และกลุ่มน้ำตาลขอนแก่น (KSL) มีช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ทั้งกลุ่มเชื้อเพลิงชีวภาพ ได้แก่ น้ำมันไอโอดีเซล (B100) และเอทานอล รวมถึงผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพ (Health and Well-Being Products) เช่น เอนไซม์ คอลลาเจน เวย์โปรตีนจากนม โปรตีนจากไข่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือก ได้มากขึ้น ช่วยเพิ่ม upside ในทางอ้อม คิดเป็นมูลค่าพื้นฐานที่ 66 บาท

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้