3279 จำนวนผู้เข้าชม |
หลังจากจีนประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมโควิดช่วงปลายปี ผนวกกับการปรับตัวขึ้นของหุ้น DELTA รับการกลับเข้าคำนวณในดัชนี SET50 ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเร็วและแรง แต่เมื่อประเมินภาพรวมทั้งเดือนมกราคมที่เพิ่งผ่านพ้นไป ตลาดกลับเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งแคบๆ (Sideways) โดยตลอดทั้งเดือน ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพียง 0.17% จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอการไหลเข้า เพื่อรอดูผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ แรงขายทำกำไรเมื่อดัชนีขึ้นไปถึงแนวต้านแรกระดับ 1,700 จุด หรือการที่ไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามา สนับสนุนตลาด อีกทั้งบรรยากาศการลงทุนมีแรงกดดันจากผลประกอบการไตรมาส 4 ปีที่แล้ว มีความเสี่ยงว่าจะออกมาต่ำกว่าที่คาด
อย่างไรก็ดี ในมุมมองของหยวนต้า (YUANTA) มองว่ายังมีหุ้นที่น่าสนใจ ทั้งในเชิงมูลค่าหุ้น (Valuation) และเชิงเปรียบเทียบจากธีม Bottom Fishing ซึ่งคัดกรองจาก 3 ปัจจัย ประการแรก ราคาหุ้นยังมี Upside มากกว่า 15% ประการที่สอง ประมาณการกำไรปกติปีนี้เติบโตดีขึ้น และประการที่สาม ราคาหุ้นยัง Laggard เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด (Pre-COVID) พบว่า มีหุ้นที่ผ่านเงื่อนไขทั้ง 3 ข้อ ได้แก่ BGRIM, GPSC, PTG, RATCH, OSP, ADVANC รวมถึง SCGP, KISS, BBIK, DPAINT และ MTW
ด้านดาโอ (DAOL) ประเมินดัชนีตลาดหุ้นมีลุ้นขึ้นไปยืนในกรอบ 1,700-1,720 จุด และน่าจะเป็นจุดสูงสุดของช่วงครึ่งแรกปีนี้ด้วย จึงแนะเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่ากำไรจะออกมาดี และราคาขึ้นไม่มาก ก่อนขายทำกำไรช่วงสั้น ปลายเดือนนี้ หลังส่งงบการเงิน หรือก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD ซึ่งเมื่อคัดเลือกหุ้นที่เข้าข่ายดังกล่าว พบว่า มีหุ้นน่าสนใจ 7 ตัว ได้แก่ BBL, CK, CPALL, ITNS, KTC, PLUS, SSP
สำหรับกสิกรไทย (KS) ให้น้ำหนักกับอานิสงค์จากการที่จีนเปิดประเทศ ยังคงสนับสนุนธีมการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่เปิดประเทศ โดยเฉพาะ CPN, CRC, BDMS และ MINT และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยแบบ K-shape อย่าง SC (ตัวเลือกในกลุ่มผู้เล่นในประเทศ) และ AAI (ตัวเลือกในกลุ่มส่งออก) เพราะเงินเก็บของชาวจีนมีเหลือค่อนข้างมาก ส่งผลให้การท่องเที่ยวต่างประเทศเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยไทยจะเป็นหนึ่งในผู้ได้ประโยชน์หลัก ไม่ว่าความกังวลเรื่อง Fed Pivot จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม
นอกจากนี้ ยังมีหุ้นอีก 3 กลุ่มที่อยู่ในธีมลงทุนของค่ายนี้ ประกอบด้วย กลุ่มป้องกันความเสี่ยงจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง PRM กลุ่มป้องกันความเสี่ยงด้านวัฎจักร NPL ในประเทศ อย่าง BAM และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากอัตราตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีที่ลดลง เลือก BLA
ขณะที่บัวหลวง (BLS) เสริมว่า หลังจากยกให้หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว เป็น ธีมลงทุนใหญ่ของครึ่งปีแรกนี้ และราคาหุ้นใหญ่ในธุรกิจหลักปรับขึ้นรับข่าวไปมากแล้ว ตั้งแต่การเปิดกรุ๊ปทัวร์จากจีนที่เร็วเกินคาด ทำให้ยังมีอีกหลายธุรกิจที่ตั้งหลักไม่ทัน และราคาหุ้นหลายตัวยังไม่ได้ตอบรับต่อประเด็นการลงทุนนี้ แต่ด้วยอุปสงส์ที่อัดอั้นมา ขณะที่อุปทานบางอย่างดูจะไล่ตามไม่ทัน ทำให้ในช่วงที่ตลาดหุ้นแกว่ง sideway ขณะนี้ ถือเป็นโอกาสซื้อหุ้นที่เกี่ยวโยงกับรายได้ภาคการท่องเที่ยว ที่ดูแล้วจะมี Upside จากโอกาสที่อุปทานยังตั้งหลักไม่ทันนี้ คาดว่าจะมารับไม้ต่อ Flows ของการลงทุนบนธีมกลุ่มใหญ่ ได้แก่
ASAP: บริการรถเช่าที่นอกจากปีนี้ลูกค้ากลุ่มองค์กรจะฟื้นตัวจากยกเลิก WFH และการ Lean องค์กร ประกอบกับยังมี Demand กลุ่มท่องเที่ยวที่ยังกลัวความเสี่ยงโควิด นิยมมาเป็นกลุ่มเล็ก หรือมาเฉพาะครอบครัว พร้อมเช่ารถขับด้วย
SPA: Soft power นวดไทย ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ทุกสื่อโซเชี่ยล ที่มีโอกาสฟื้นตัวไปเหนือโควิดจากคู่แข่งปิดไปเยอะ มีการ Lean องค์กร รีดประสิทธิภาพเต็มที่ และเมื่อรายได้กลับ Margin จะยิ่งดีขึ้น
MEGA: สินค้ายอดฮิตที่คนจีนต้องซื้อ ทั้งพวกอาหารเสริม ยาเกี่ยวเนื่องรักษาโรคต่างๆ และสมุนไพร รวมถึง IP, HL ที่เป็นร้านขายยาด้วย
นอกจากนี้ ยังมีหุ้นแนะนำอย่าง SNNP, NSL, NRF, SAPPE (ขนม เครื่องดื่ม และอาหาร) รวมถึง RP (เรือเฟอร์รี่) ด้วย
ส่วนทรีนีตี้ (TNITY) แนะนำหุ้นที่มักมี Track record ในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกๆ ปีอยู่ในเกณฑ์ดี และ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ได้แก่ AMATA, GLOBAL, INTUCH, JMT รวมถึงหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งราคาปรับลงสวนทางกับประมาณการกำไรที่ถูกปรับขึ้น โดยชี้เป้าไปที่ SPALI, WHA ตลอดจนหุ้นกลุ่มบริการที่ได้ประโยชน์จาก Mobility ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง และราคาอยู่ในช่วงพักตัว อย่าง M, VRANDA และหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ราคาปรับลงมารับผลประกอบการไตรมาส 4 ที่อ่อนแอไปแล้ว และกำไรมีแนวโน้ม Bottom out ต่อจากนี้ เลือกตัวเดียว คือ GPSC