2599 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. ศักดิ์สยามลิสซิ่ง (SAK) ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยภายใต้แบรนด์ "ศักดิ์สยามลิสซิ่ง" รายงานผลดำเนินงานงวดไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา ว่า พอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 10,867 ล้านบาท เติบโต 22.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้รายได้รวมจากดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมและบริการรวมอยู่ที่ 630.2 ล้านบาท เติบโต 22.0% YoY หนุนจากปัจจัยฤดูกาลเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตรซึ่งมีราคาที่ดี ทำให้ลูกค้าสามารถชำระค่างวดได้ตามปกติ ประกอบกับบริษัทฯ มีการขยายสาขาครบ 929 สาขา ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้น และช่วยผลักดันให้รายได้รวมจากดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมและบริการรวมทั้งปีเพิ่มขึ้น 26.4% YoY เป็น 2,336 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเติบโต 16.9% YoY เป็น 710.2 ล้านบาท
สำหรับโครงสร้างรายได้หลักมาจากสินเชื่อทะเบียนรถ ในสัดส่วน 80% รองลงไปเป็นสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ในสัดส่วน 12.2% ที่เหลือมาจากสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อส่วนบุคคล ในสัดส่วน 5.1% และ 2.7% ตามลำดับ ส่วนหนี้เสีย (NPLs) ลดลงเล็กน้อยจาก 2.6% ในไตรมาสสาม เหลือ 2.5%
โอกาสนี้ บริษัทฯ พร้อมจ่ายปันผลสำหรับรอบบัญชีทั้งปี ในอัตราหุ้นละ 0.137 บาท กำหนดวันขึ้นเครื่องหมายไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 28 เมษายนที่จะถึงนี้ ก่อนจ่ายเงินในวันที่ 18 พฤษภาคม ตามมา
พร้อมกันนี้ นายศิวพงษ์ บุญสาลี กรรมการผู้จัดการ SAK ชี้แจงแผนงานปีนี้ด้วยว่า ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อแตะ 13,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 25% ขับเคลื่อนโดยการการขยายสาขาเพิ่มอีก 100 สาขา เป็น 1,029 สาขา เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนให้สามารถตอบสนองความต้องการเงินทุนเพื่อประคองค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ต่อยอดการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อเดิม
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ พร้อมกับขยายบริการใหม่ๆ อย่างสินเชื่อโซลาร์ รูฟท็อป สำหรับที่อยู่อาศัย ให้สอดรับกับกระแสประหยัดค่าไฟฟ้าที่ขยายตัวมากขึ้น สวนทางความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เติบโตสูงในช่วงหน้าร้อน ควบคู่ไปกับรุกให้บริการสินเชื่อโดรนเพื่อการเกษตร เพื่อรองรับฤดูกาลเพาะปลูกที่จะเริ่มในไตรมาส 2 ขณะที่ตั้งเป้าคุม NPLs ให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม
สำหรับความเห็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เบื้องต้น กสิกรไทย (KS) บอกว่า การที่บริษัทฯ ประกาศกำไรไตรมาสสุดท้ายปีก่อน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นไปตามที่ฝ่ายวิจัยคาด แต่สูงกว่าที่ตลาดคาด 10% ทำให้ยังคงประมาณการกำไรสุทธิ 2 ปีนี้ที่ 923 ล้านบาท และ 1,090 ล้านบาท ตามลำดับ หนุนโดยการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ และการขยายสาขาให้ครอบคลุมการให้บริการมากขึ้น ประกอบกับเชื่อมั่นในศักยภาพการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทฯ ที่ทำได้ดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายปีก่อน ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ ยกให้เป็นปัจจัยที่จะมีน้ำหนักต่อการลงทุนหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ปีนี้มากที่สุด จึงแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายปีนี้ที่ 7.70 บาท
อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทฯ มีแผนเปิดสาขาใหม่ 100 สาขาในไตรมาสแรก จะกดดันให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น ส่งผลให้คาดกำไรไตรมาสแรกปีนี้จะอ่อนตัวลง QoQ ก่อนจะเริ่มเห็นการเก็บเกี่ยวดอกผลจากรายได้ที่เกิดจากสาขาใหม่ใน 3 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้ ประกอบกับการที่ราคาหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ ยังมีแรงกดดันจากความกังวลเรื่องความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้น