2708 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. ปตท. (PTT) รายงานผลดำเนินงานงวดไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 7.97 แสนล้านบาท ลดลง 9.9% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แต่เพิ่มขึ้น 15.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิกลับปรับลดลง 9.9% YoY แต่เพิ่มขึ้นเท่าตัว 101.1% QoQ มาอยู่ที่ 1.76 หมื่นล้านบาท หลักๆ เป็นผลมาจากมีรายการพิเศษกำไรพิเศษจากอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม กำไรปกติ หรือกำไรก่อนหักค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) กลับปรับลดลง 27.4%YoY และ 20.3% QoQ สาเหตุจากกำไรของบริษัทลูกที่ลดลง ยกเว้นธุรกิจสำรวจและผลิตเท่านั้นที่มีผลดำเนินงานดีขึ้นเล็กน้อย
สำหรับผลดำเนินงานรอบบัญชีปีทั้งปี กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 91,175 ล้านบาท ลดลง 1.7 หมื่นล้านบาท หรือ 15.9% YoY อย่างไรก็ตาม กำไรปกติ หรือกำไรก่อนหักค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) เพิ่มขึ้น 6.3 หมื่นล้านบาท หรือ 14.8% YoY สาเหตุจากธุรกิจสำรวจและผลิตมีผลดำเนินงานดีขึ้น ทั้งจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น และราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นตามราคาพลังงานในตลาดโลก ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลดำเนินงานลดลงจากต้นทุนก๊าซฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก จากการนำเข้า Spot LNG เพื่อรองรับความต้องการใช้ก๊าซในประเทศ เช่นเดียวกับธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่มีผลดำเนินงานลดลงเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี ที่ราคาปรับลดลงจากความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย ประกอบกับบริษัทฯ มีผลขาดทุนจากรายการพิเศษ และการรับรู้รายการขาดทุนที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำตามสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ สัดส่วนกำไรที่เกิดขึ้นในรอบบัญชีปีที่ผ่านมา มาจากผลดำเนินงานของ PTT เอง ในสัดส่วน 17% ซึ่งลดลงจากปีก่อน เนื่องจากผลดำเนินงานของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ที่มีต้นทุนราคาค่าเนื้อก๊าซฯ ปรับสูงขึ้นมาก อีก 83% มาจากผลดำเนินงานของบริษัทลูก แบ่งเป็นธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 51% ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน และบริษัทย่อยอื่นๆ 23% กลุ่มธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก 8% และธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น 1%
โอกาสนี้ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. เปิดเผยว่า พร้อมจ่ายปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลัง ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท กำหนดวันขึ้นเครื่องหมายไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 2 มีนาคมนี้ ก่อนจ่ายเงินในวันที่ 28 เมษายน ซึ่งเมื่อคิดรวมการจ่ายปันผลระหว่างกาลในงวดครี่งปีแรก ส่งผลให้บริษัทฯ จ่ายปันผลทั้งปี ในอัตราหุ้นละ 2 บาท โดยกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ และกองทุนวายุภักษ์ รับเงินปันผลรวมกัน 3.61 หมื่นล้านบาท และมีการนำส่งรายได้เข้ารัฐรวม 8.63 หมื่นล้านบาท คิดรวมเงินปันผล ภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทฯ และบริษัทลูก
ขณะเดียวกัน PTT ยังคงเดินหน้าพันธกิจขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามหลักธรรมาภิบาลอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือลดต้นทุนค่าครองชีพด้านพลังงานให้กับประชาชน ร่วมดูแลสังคมผ่านโครงการลมหายใจเดียวกัน เพื่อสนับสนุนระบบสาธารณสุขของประเทศจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด รวมถึงเดินหน้าโครงการลมหายใจเพื่อน้อง ช่วยเหลือเยาวชนกว่า 60,000 คน ที่เสี่ยงต่อการหลุดจากระบบการศึกษา ตลอดจนมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 15% ภายใน ค.ศ. 2030 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายใน ค.ศ. 2040 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายใน ค.ศ. 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ และพร้อมดำเนินการในทุกมิติเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5
นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามพันธกิจหลักในการจัดหาและสำรองพลังงานให้ประชาชนและภาคอุตสาหกรรมได้เข้าถึงพลังงานอย่างทั่วถึง ในราคาที่เป็นธรรม พร้อมกับการแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่และธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนต่อไป
ถึงแม้ PTT จะประสบความสําเร็จในการนําหลักการ ESG มาใช้จนได้รับการยอมรับจากนักลงทุนทุกกลุ่ม แต่มุมมองการลงทุนล่าสุด นักวิเคราะห์หลักทรัพย์แทบทุกสำนัก จะแนะนำซื้อลงทุนระยะยาว เพราะทิศทางกำไรบริษัทลูกมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาสแรกปีนี้ สาเหตุจากบริษัทลูก อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้น laggard กลุ่มพลังงานอยู่มาก โดยซื้อขายบริเวณ P/BV ที่ 0.8 เท่า (เทียบเท่า -2.0 SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปี) ทำให้มีความเสี่ยงขาลง (Downside) จำกัด แต่เนื่องจากภาพรวมผลดำเนินงานปีนี้ ถูกปรับลดประมาณการลงมาตามการปรับลดประมาณการของบริษัทลูกก่อนหน้านี้ ทำให้มูลค่าพื้นฐานปีนี้ถูกปรับลดลงตามมา โดยมีค่าเฉลี่ยที่ 42.20 บาท
กระนั้น หยวนต้า (YUANTA) ได้เตือนให้ระมัดระวังในการเก็งกำไรระยะสั้นด้วย เนื่องจาก 3 เดือนข้างหน้า ราคาหุ้นยังมีความไม่แน่นอนจากนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะช่วงเข้าใกล้การเลือกตั้ง