ส่องกำไร STA ปีนี้ ยางธรรมชาติยังโดดเด่น แต่ถูกกดดันจากถุงมือยาง ที่มีแนวโน้มขาลงต่ออีกสักระยะ

นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ศรีตรังแอโกร อินดัสทรี (STA) ผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลก และผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เปิดเผยแผนธุรกิจปีนี้ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมที่ 2 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 33% จากปีที่ผ่านมา หนุนจากการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง จากปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 3.18 ล้านตัน จะเพิ่มเป็น 4.24 ล้านตัน ภายในปีหน้า เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลก อย่างต่อเนื่อง หลังจากปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ครองส่วนแบ่งตลาดยางธรรมชาติในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 1% เป็น 11%

สำหรับผลดำเนินงานรอบบัญชีปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม 110,657 ล้านบาท ชะลอตัว 6.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ขณะที่กำไรสุทธิปรับตัวลดลง 69.7% YoY มาอยู่ที่ 4,795 ล้านบาท สาเหตุจากธุรกิจถุงมือยางได้รับผลกระทบจากการคลี่คลายของสถานการณ์โควิดทั่วโลก รวมถึงกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก กดดันให้ราคาขายเฉลี่ยปรับลดลงกว่า 54.1% และฉุดให้รายได้รวมและอัตรากำไรขั้นต้นลดลง 51.8% และ 58.5% ตามลำดับ ทั้งที่ธุรกิจยางธรรมชาติยังเติบโตต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้นถึง 23.9% YoY หนุนจากทั้งยอดขายและราคาขายเฉลี่ย  

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ พร้อมจ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงานงวดครึ่งปีหลังในอัตราหุ้นละ 1 บาท เท่ากับที่จ่ายระหว่างกาลจากผลดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 19 เมษายนนี้ ก่อนจ่ายเงินปันผลในวันที่ 8 พฤษภาคมตามมา

ภาพรวมผลดำเนินงานของ STA ที่ชะลอตัวลงจากธุรกิจถุงมือยาง ทำให้นักวิเคราะห์จากหยวนต้า (YUANTA) และทรีนีตี้ (TNITY) ประเมินว่า ธุรกิจถุงมือยางจะยังสร้างแรงกดดันให้กำไรปีนี้ชะลอตัวต่อเนื่อง ทำให้ต้องติดตามสถานการณ์ราคาขายเฉลี่ยของถุงมือยางอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ทั้ง 2 ค่ายคิดคล้ายๆ กันว่า ราคาถุงมือยางใกล้จะชะลอลงถึงระดับต่าสุดแล้วเนื่องจากราคาปัจจุบันใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ที่ระดับ 0.60–0.65 บาท ต่อชิ้นแล้ว    

TNITY ปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้และปีหน้าของ STA ลงจาก 5.58 พันล้านบาท และ 4.80 พันล้านบาท เป็น 3.60 พันล้านบาท และ 3.20 พันล้านบาท จากการปรับคาดการณ์รายได้ลงเป็น 1.01 แสนล้าน บาท และ 1.08 แสนล้านบาท ตามลำดับ เพราะราคาขายเฉลี่ยของถุงมือยางยังมีแนวโน้มเป็นขาลงต่อจากระดับสต็อกสินค้าของลูกค้าที่ยังอยู่ในระดับสูงจากการขยายกาลังการผลิตของอุตสาหกรรมในช่วงก่อนหน้า

ส่วนธุรกิจยางธรรมชาติ ยังเชื่อมั่นว่า ยอดขายจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.0 ล้านตัน จากอุปสงค์ที่ย้ายมาจากอินโดนีเซีย ประกอบกับคาดราคายางธรรมชาติจะมีการฟื้นตัวจากการเปิดประเทศของจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่ของโลก รวมถึงความต้องการที่สูงขึ้นจากกลุ่มผู้ผลิตยางล้อยานยนต์ที่ไม่ใช่จีน โดยคาดราคาขายเฉลี่ยทั้งปีของยางธรรมชาติจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 140-160 เซนต์ คิดเป็นมูลค่าพื้นฐานที่ 22 บาท อิงวิธี SOTP โดยเลือกใช้ P/E ที่ 9 เท่า สำหรับกลุ่มยางธรรมชาติ และใช้ P/E ที่ 12 เท่า สำหรับกลุ่มถุงมือยาง

ด้าน YUANTA ระบุว่า แม้กำไรสุทธิงวดไตรมาสสุดท้ายปีก่อนจะชะลอตัวลงมาเป็น 475 ล้านบาท แต่หากหักรายการพิเศษ เช่น ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธุ์ ค่าเงิน และขาดทุนอื่นๆ จะพบว่า กำไรปกติงวดไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมาจะอยู่ที่ 527 ล้านบาท ดีกว่าที่คาดไว้ ทำให้ปรับประมาณการกำไรปีนี้ขึ้น 4% จากการปรับสมมติฐานกำไรจากธุรกิจยางธรรมชาติขึ้น ถึงแม้ธุรกิจถุงมือยางจะยังมีแนวโน้มเป็นขาลงต่ออีกสักระยะ และกดดันให้กำไรของบริษัทฯ ยังชะลอตัวต่อเนื่องก็ตาม

ที่สำคัญ คาดแนวโน้มกำไรไตรมาสแรกปีนี้จะฟื้นตัวจากไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา (QoQ) จากยอดขายและราคาขายยางธรรมชาติที่คาดจะสูงขึ้น รับการกลับมาเปิดประเทศของจีน ที่เป็นผู้นำเข้าหลักยางพาราของโลก ประกอบกับบริษัทฯ ยังมีคำสั่งซื้อยางพาราบางส่วนที่ถูกเลื่อนมาจากไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา รวมถีงมีการเพิ่มกำลังการผลิตบางส่วน จึงปรับราคาเป้าหมายปีนี้ขี้นเป็น 25 บาท อิง P/BV ที่ 0.55 เท่า เทียบเท่าระดับ -1.0 SD ของค่าเฉลี่ย P/BV ย้อนหลัง 5 ปี ไม่รวมปี 2564 ที่ธุรกิจถุงมือยางได้ประโยชน์จากการระบาดของโควิดมากเป็นพิเศษ และแนะนำเพียง "เก็งกำไรตามรอบ"

แต่ในเชิงกลยุทธ์ มอง TEGH และ NER เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าสำหรับกลุ่มธุรกิจยางธรรมชาติ