3052 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. ราช กรุ๊ป (RATCH) รายงานผลดำเนินงานปีที่ผ่านมา มีรายได้รวมทั้งสิ้น 81,788.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.4% จากปีก่อนหน้า และมีกำไรจากการดำเนินงาน (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย -EBITDA) อยู่ที่ 12,811.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.4% สาเหตุจากบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเรียว ในอินโดนีเซีย และโรงไฟฟ้าเน็กส์ซิฟ ราช ระยอง ในประเทศไทย รวมถึงการลงทุนเพิ่มในโรงไฟฟ้าพลังน้ำอาซาฮาน-1 อินโดนีเซีย และโรงไฟฟ้าสหโคเจน
อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิกลับปรับลดลง 26.04% มาอยู่ที่ 5,782.07 ล้านบาท ผลจากการปรับตัวลดลงของส่วนแบ่งกําไรจากเงินลงทุน ต้นทุนการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นตามการลงทุนโครงการต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ทว่าบริษัทฯ ยังคงจ่ายปันผลสำหรับรอบบัญชีครึ่งปีหลัง ในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท เท่ากับครึ่งปีแรก กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 17 มีนาคม และกำหนดวันจ่ายปันผลวันที่ 19 พฤษภาคมนี้
โอกาสนี้ นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ RATCH ชี้แจงว่า ผลดำเนินงานของโรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทฯ โดยส่วนใหญ่ยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ค่อนข้างดี แม้จะมีแรงกดดันจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นตามราคาตลาดโลก ซึ่งถือได้ว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ประการสำคัญ บริษัทฯ ยังคงสามารถบริหารจัดการด้านการเงินให้ต้นทุนอยู่ในระดับเหมาะสม และมีเงินทุนเพียงพอและทันการณ์กับการขยายการลงทุนของบริษัทฯ ส่งผลให้ปัจจุบันสถานะทางการเงินของบริษัทฯ จัดอยู่ในระดับที่มั่นคงและแข็งแกร่ง โดยมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นเป็น 2.29 แสนล้านบาท มีอัตราส่วนสภาพคล่องที่ระดับ 1.90 เท่า และหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.14 เท่า ขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 6.90%
สำหรับความเห็นนักวิเคราะห์ แม้ส่วนใหญ่จะผิดหวังกับผลดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายของปีที่ออกมาต่ำกว่าคาด แต่เมื่อผู้บริหารชี้แจงว่า มีสาเหตุหลักจากค่าที่ปรึกษาทางการเงินในการทำดีลโครงการ Paiton และโครงการ Nexif ผ่านการร่วมทุน (NEJV) ซึ่งเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ ทำให้มีรายจ่ายพิเศษครั้งเดียว ประกอบกับกำไรปกติในปีที่ผ่านมายังเติบโตได้ และมีแนวโน้มจะเติบโตเด่นในปีนี้ จึงมีมุมมองเป็นกลางต่อภาพธุรกิจระยะสั้น แต่มีมุมมองเชิงบวกสำหรับภาพธุรกิจระยะกลางถึงยาว
ดาโอ (DAOL) บอกว่า การที่กำไรปกติในปีที่ผ่านมาต่ำกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ฯ คาดไว้ราว 20% ทำให้ปรับลดประมาณการกำไรปีนี้ลงมาจากเดิม 14% มาอยู่ที่ 7.8 พันล้านบาท แต่ยังมีการเติบโตโดดเด่นจากปีที่ผ่านมาถึง 46% จากแรงส่งของโครงการ Paiton ในอินโดนีเซีย กำลังการผลิต 736 เมกะวัตต์ (MW) ที่คาดว่าจะปิดดีลแล้วเสร็จภายในครึ่งแรกปีนี้ และการทยอยเปิดดำเนินการของโครงการ NEJV กำลังการผลิต 1.5 พันเมกะวัตต์ (GW) ที่เพิ่งเปิดเดินเครื่องเพียง 0.4 MW เป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ คิดเป็นราคาเหมาะสมที่ 47 บาท เมื่อยึดหลักการประเมินแบบอนุรักษ์นิยมมากขึ้น
ส่วนเอเซีย พลัส (ASPS) เสริมว่า การเข้าลงทุนโครงการขนาดใหญ่ต่างประเทศ จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้รายได้และกําไรของ RATCH ช่วง 2 ปีนี้เติบโตอย่างโดดเด่น โดยคาดกำไรปกติปีนี้และปีหน้า อยู่ที่ 7,875 ล้านบาท และ 8,941 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นมูลค่าพื้นฐานปีนี้ 51 บาท แนะหาจังหวะค่อยๆ สะสมลงทุน เพื่อรับการเติบโตของกําไร และเงินปันผลที่อยู่ในระดับที่ดี
ด้านหยวนต้า (YUANTA) คาดกำไรปกติปีนี้ที่ 9,799 ล้านบาท ก่อนขยายตัวเพิ่มเป็น 11,502 ล้านบาท ในปีหน้า ผลักดันจากโครงการ Paiton และ NEJV คิดเป็นราคาเหมาะสมสิ้นปีที่ 53 บาท อิงวิธี DCF พร้อมแนะนำ ซื้อ เพราะราคาหุ้นมีการปรับฐานอย่างต่อเนื่องกว่า 5% หลังจากประกาศผลดำเนินงานเป็นต้นมา ส่งผลให้ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER เพียง 9 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี เทียบเท่า -1SD ซึ่งเมื่อคิดรวมกับเงินปันผลสำหรับรอบบัญชีครึ่งปีหลังในอัตรา 0.80 บาท ทำให้ Downside น่าจะเริ่มจำกัดแล้ว หนุนให้ Upside สูงเกิน 35%
สำหรับกำไรปกติไตรมาสแรกปีนี้ คาดจะเห็นการเติบโตจากไตรมาสแรกปีที่ผ่านมา และพลิกจากขาดทุนในไตรมาสสุดท้ายปีก่อนมาเป็นกำไรได้ เพราะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าหงสาที่เป็นแหล่งกำไรหลักเหมือนในไตรมาสแรก และไตรมาสสุดท้ายปีก่อน อีกทั้งจะเริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าลงทุนใน NEJV แบบเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ SCG จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นหลังต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเริ่มปรับตัวลง และค่าใช้จ่ายในการบริหารมีแนวโน้มลดลงจากฐานที่สูงในไตรมาสสุดท้ายปีก่อน
ขณะที่กสิกรไทย (KS) ให้ราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 45.50 บาท หลังจากปรับประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้าขึ้น 10% และ 5% มาที่ 8,817 ล้านบาท และ 7,690 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อให้สอดรับกับราคาเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มลดลงจากปีที่ผ่านมา และเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น พร้อมแนะนำ ซื้อลงทุนระยะยาว จากการที่บริษัทฯ มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายระยะยาวในการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 10,000 MW ภายในปี 2568