MAKRO พร้อมก้าวสู่โหมดกำไรเติบโต แต่ upside ระยะสั้นจำกัด

3353 จำนวนผู้เข้าชม  | 

MAKRO พร้อมก้าวสู่โหมดกำไรเติบโต แต่ upside ระยะสั้นจำกัด


บมจ. สยามแม็คโคร (MAKRO) รายงานผลดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ มีรายได้และกำไรเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 7.9% เป็น 1.2 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 5.6% เป็น 2,166 ล้านบาท แบ่งเป็นกำไรจากธุรกิจค้าส่งแม็คโคร 1,897 ล้านบาท และค้าปลีก โลตัส 269 ล้านบาท สาเหตุจากยอดขายเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว หนุนให้กิจกรรมทางการค้ากลับมาคึกคัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและจัดเลี้ยง (กลุ่ม Horeca) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลักของธุรกิจค้าส่ง หนุนด้วยการขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง อย่างธุรกิจค้าปลีก มีการขยายสาขารูปแบบต่างๆ ทั้งพรีเมียมไฮเปอร์มาร์เก็ต พรีเว่, ไฮเปอร์มาร์เก็ต สีคิ้ว และโลตัส โก เฟรช 19 สาขา ขณะที่ธุรกิจค้าส่ง มีการเปิดสาขาใหม่ ที่เทพรักษ์ เพื่อรองรับกำลังซื้อผู้บริโภคย่านสายไหม และเริ่มเปิดแม็คโคร ฟูดเซอร์วิส สาขาสนามบินน้ำ บนพื้นที่ขายกว่า 3,000 ตารางเมตร รวมถึงการปรับกลยุทธ์มาเน้นเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ตอบไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น   

โอกาสนี้ นางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจค้าส่ง และประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจสายงานบัญชีและการเงิน MAKRO ชี้แจงว่า บริษัทฯ พร้อมผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ ด้วยการขยายสาขาใหม่ทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง แบ่งเป็นแม็คโคร 12 สาขา โลตัส ในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต 3-4 สาขา ซูเปอร์มาร์เก็ต 5 สาขา และโก เฟรช 100-150 สาขา ขณะที่ต่างประเทศ มีแผนเปิดซูเปอร์มาร์เก็ต 14 สาขา และแม็คโคร อย่างน้อย 2 สาขา ควบคู่ไปกับการพัฒนาช่องทางการขายออนไลน์ และบริการจัดส่งสินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่นิยมความสะดวกสบายมากขึ้น 

ส่วนการบริหารจัดการต้นทุนของธุรกิจ บริษัทฯ จะมุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเพื่อรับมือต้นทุนพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น หลังเห็นผลสำเร็จจากการประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar rooftop) ในสาขาแม็คโคร 76 สาขา และสาขาโลตัสรวม 642 สาขา โดยตั้งเป้าติดครอบคลุม 1,150 สาขา ในปีหน้า เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าทดแทน 13% ของทั้งหมด




ผลดำเนินงานไตรมาสแรกของ MAKRO ถือว่า เป็นไปตามที่ตลาดคาด แต่กับระดับราคาหุ้นในปัจจุบัน ทำให้หุ้นมี upside ค่อนข้างจำกัด วัดจากผลสำรวจของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Concencus) ที่ประเมินราคาเหมาะสม MAKRO ปีนี้ไว้ที่ 44.50 บาท การลงทุนจึงต้องหวังผลระยะยาวมากกว่า  

อินโนเวสท์เอ็กซ์ (InnovestX) เชื่อว่า จะเริ่มเห็นการเติบโตของกำไรฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป จากแนวโน้มยอดขายที่เร่งตัวขึ้น ตามแผนขยายสาขาใหม่ปีนี้ หนุนด้วยการที่บริษัทฯ บริหารอัตรากำไรขั้นต้นได้สูงขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจค้าส่งที่คาดว่าจะดีขึ้น ตามยอดขายสินค้ากลุ่มอาหารสด และ private brand ที่มีกำไรสูงขึ้น ขณะที่ธุรกิจค้าปลีก เชื่อว่าไตรมาสแรกเป็นจุดต่ำสุดของปีแล้ว ก่อนจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในทุกไตรมาส จากอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ และ synergy ที่มีมากขึ้น รวมถึงการเติบโตของยอดขายจากการขยายสาขา

ประการสำคัญ บริษัทฯ ยังจะได้ประโยชน์จากการประหยัดต้นทุนทางการเงินที่เกิดจากแผนออกหุ้นกู้ในประเทศ ไปชำระคืนหนี้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในครึ่งปีแรก ช่วยให้บริษัทฯ ประหยัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย (หลังภาษี) ได้ปีละ 660 ล้านบาท หนุนให้กําไรเติบโต 8% จากฐานกําไรปีก่อน ส่งผลให้กำไรปกติปีนี้และปีหน้าเติบโตเฉลี่ยราว 22% มาแตะ 1.00 หมื่นล้านบาท ก่อนเพิ่มเป็น 1.24 หมื่นล้านบาท คิดเป็นราคาเป้าหมายปีนี้ที่ 46 บาท

สำหรับผลกระทบจากนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ น่าจะมีจำกัด เพราะบริษัทฯ จะได้ประโยชน์จากการลดค่า Ft มาชดเชย

ดาโอ (DAOL) บอกว่า คงประมาณการกำไรปีนี้ และปีหน้าที่ 1.14 หมื่นล้านบาท และ 1.41 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 48% และ 24% ตามลำดับ ผลักดันโดยการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น ทั้งจาก synergy ใน 2 กลุ่มธุรกิจ และแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายทางเงินที่ลดลงชัดเจน ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย จะปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังปีนี้เป็นต้นไป จึงคงแนะนำ "ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 45 บาท ตามเดิม อิง PER ที่ 41 เท่า เทียบเท่า +0.5 SD above 5-yr avg. PER) เพราะเชื่อว่า MAKRO จะเติบโตดีกว่ากลุ่มพาณิย์ที่คาดเติบโต 39%




อย่างไรก็ตาม เอเซีย พลัส (ASPS) แนะนำเพียง "Neutral” เพราะภาพระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยหนุนราคา จากการที่แนวโน้มกำไรงวดไตรมาส 2 ถูกกดดันจากค่าปรับที่เกิดจากการจ่ายคืนหนี้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนกำหนดเป็นครั้งสุดท้าย แต่ยังเชื่อว่า จะเห็นการเติบโตที่สดใสมากขึ้นในครึ่งปีหลัง ทั้งจากยอดขาย และต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ทำให้อัตราการเติบโตของกำไรในระยะกลางถึงยาว (ปี 2566–68) เฉลี่ยน่าจะทำได้ 37% ตามที่ประเมินไว้เดิม มีผลให้คงประมาณการกำไรปีนี้ที่ 1.20 หมื่นล้านบาท และปีหน้าที่ 1.80 หมื่นล้านบาท รวมทั้งมูลค่าพื้นฐานปีนี้ที่ 44.00 บาท อิง PER ที่ 36.9 เท่า ตามเดิม

เช่นเดียวกับกรุงศรี โนมูระ (KCS) ที่แนะนำเพียงแค่ "ถือ” เพราะมองว่า ราคาหุ้นปัจจุบัน ที่ระดับ 40 บาท ซื้อขายบน PER ปีนี้ที่ 38.5 เท่า ซึ่งสูงกว่ามูลค่าเหมาะสมที่ 38.50 บาท และสูงกว่าค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลังราว +1.5 SD ถึงแม้จะมีมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของกำไร 2 ปีนี้ โดยคาดกำไรปีนี้ที่ 1.12 หมื่นล้านบาท และปีหน้า 1.40 หมื่นล้านบาทก็ตาม

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้