3334 จำนวนผู้เข้าชม |
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย (TATG) เปิดเผยว่า ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 100 ล้านหุ้น คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ที่ราคาพาร์ หุ้นละ 1 บาท และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดธุรกิจยานยนต์ (AUTO) ภายในปีนี้
ทั้งนี้ TATG ทำธุรกิจออกแบบและผลิตเครื่องมือสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ (Tooling) ครอบคลุมถึงการออกแบบและผลิตแม่พิมพ์สำหรับการปั๊มขึ้นรูปโลหะ (Stamping Dies) อุปกรณ์จับยึดเพื่อการตรวจสอบ (Checking Fixtures) และอุปกรณ์จับยึดเพื่อการประกอบ (Assembly Jigs) ผ่านบริษัทย่อย ไทย ออโต ทูลส์ ปทุมธานี (TATP) และผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แบบปั๊มขึ้นรูปโลหะ (Automotive Press Parts) ผ่านบริษัทฯ และ 2 บริษัทย่อย ประกอบไปด้วย บริษัท ไทย ออโต ทูลส์ ชลบุรี (TATC) และไทย ออโต ทูลส์ อีสเทิร์น (TATE)
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนใช้เงินลงทุนขยายโรงงาน และลงทุนเครื่องจักรที่เป็นสายการผลิตระบบอัตโนมัติ รวมถึงชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน เพื่อยกระดับฐานการผลิตให้มีมาตรฐานสากล ในฐานะผู้ผลิตแม่พิมพ์โลหะ อุปกรณ์จับยึด และผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ ที่ให้บริการลูกค้าได้ครบวงจร และตอบโจทย์เรื่องยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืน
ขณะที่ ดร. พยุง ศักดาสาวิตร ประธานกรรมการบริหาร TATG กล่าวถึงจุดเด่นของบริษัทฯ ว่า มีการลงทุนเครื่องจักรผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ทั้งระบบควบคุมด้วยบุคคล (Manual Control) และระบบอัตโนมัติที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ (Automatic Control) ตั้งแต่ขนาด 200 ตัน จนถึง 2,000 ตัน เพื่อช่วยให้สามารถผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ได้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการผลิตในปริมาณมาก หรือการผลิตที่ต้องเน้นความพิถีพิถันสูง รวมถึงยังมีการลงทุนระบบชุบเคลือบสีชิ้นส่วนด้วยระบบไฟฟ้า EDP (Electro Deposition Paint) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการชุบผิวโลหะที่อาศัยกลไกทางไฟฟ้าเคลือบพื้นผิว ทำให้ได้ชิ้นงานที่มีคุณภาพสีคงที่ ติดทนนาน ไม่ร่อน พื้นผิวราบเรียบสม่ำเสมอ และสามารถกันสนิม ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการชิ้นส่วนที่มีคุณภาพ และมีความพิถีพิถันสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยผลักดันให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยผลดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563-65) บริษัทฯ มีการเติบโตของรายได้เป็นลำดับ จาก 1,884.08 ล้านบาท ในปี 2563 เพิ่มเป็น 2,545.56 ในปี 2564 และ 2,919.69 ล้านบาท ในปี 2565 สอดคล้องกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ขณะที่กำไรสุทธิ เร่งตัวจาก 40.05 ล้านบาท ในปี 2563 เป็น 164.55 ล้านบาท ในปี 2564 ก่อนจะหดตัวลงเหลือ 108.16 ล้านบาท ในปี 2565 เพราะได้รับผลกระทบจากราคาต้นทุนวัตถุดิบ โดยเฉพาะเหล็กที่ปรับตัวสูง