3817 จำนวนผู้เข้าชม |
นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บมจ. หลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย (KGI) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค (BLC) เปิดเผยว่า พร้อมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ที่ราคาหุ้นละ 10.50 บาท จากราคาพาร์ 50 สตางค์ ระหว่างวันที่ 14 - 16 มิถุนายนนี้ ผ่านบริษัทฯ และผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญอีก 6 ราย คือ บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) บมจ. หลักทรัพย์ โกลเบล็ก (GBX) บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHS) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง (KTX) บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ (TNITY) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า ประเทศไทย (YUANTA) คาดว่าจะพร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 21 มิถุนายนนี้
ทั้งนี้ การตั้งราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 10.50 บาท คำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้นอ้างอิงผลดำเนินงานช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนปีที่ผ่านมา ถึงวันที่ 31 มีนาคมปีนี้) ซึ่งเท่ากับ 131.19 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้เท่ากับจำนวน 600 ล้านหุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เท่ากับ 0.22 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 38.8 เท่า ซึ่งสอดรับกับปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพการเติบโตในอนาคต จากการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายยาแผนปัจจุบัน รวมถึงผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งสถานพยาบาลภาครัฐและเอกชน ร้านขายยาชั้นนำในประเทศกว่า 8,000 แห่ง และส่งออกไปใน 10 ประเทศทั่วโลก มากว่า 30 ปี อีกทั้งยังมีศูนย์วิจัยของตนเองช่วยคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมด้านสมุนไพร เพื่อยกระดับสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก

ด้าน ภก. ศุภชัย สายบัว ประธานเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการ BLC ชี้แจงว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนนำเงินที่ได้ไปใช้ลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตยาอาคารใหม่ เน้นการผลิตยาแผนปัจจุบัน ประเภทยาสามัญใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตประมาณ 193% รวมทั้งติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้า Solar Rooftop บนอาคารโรงงาน และใช้ในการวิจัย พัฒนา เพื่อผลิตยาแผนปัจจุบัน 14 รายการ เน้นไปที่ยาสามัญใหม่ที่มีอัตราการเติบโตสูง สามารถตอบความต้องการของผู้บริโภค และยาในกลุ่มที่มีผู้ป่วยในอัตราสูง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคตับ โรคมะเร็ง รวมถึงยาที่รองรับการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ เช่น โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งการลงทุนโครงการดังกล่าว จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีความยั่งยืน เพราะคาดว่าจะพร้อมทยอยวางจำหน่ายในตลาดได้ในปี 2569 เป็นต้นไป คิดเป็นมูลค่าราว 985 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 214.5 ล้านบาท จะนำไปใช้ชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
โอกาสนี้ ภก. สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BLC กล่าวเสริมว่า เพื่อผลักดันการเติบโตของรายได้และกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ กำหนดกลยุทธ์ในการทำธุรกิจด้วยการมุ่งเน้นผลิตยาสามัญใหม่ที่อยู่ในบัญชียาตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) รวมถึงยาตามบัญชีนวัตกรรมไทยที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยใช้จุดแข็งเรื่องนวัตกรรมและองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่เกิดจากการวิจัย และผลิตภายใต้เทคโนโลยีที่ทันสมัยช่วยในทุกขั้นตอนการผลิตเพื่อควบคุมคุ ณภาพการผลิต ซึ่งนอกจากจะช่วยให้สามารถเพิ่มยอดขายทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในอาเซียน ฮ่องกง จีน และภูมิภาคตะวันออกกลางได้แล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการขยายพอร์ตรายได้จากการรับจ้างผลิตตามคำสั่งซื้อ ซึ่งจะทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากโรงงานผลิตได้เต็มประสิทธิภาพควบคู่กันไป
กลยุทธ์ดังกล่าว ทำให้ผลดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปีล่าสุด (ปี 2563-65) ของบริษัทฯ มีการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง จาก 13.7 ล้านบาท ในปี 2563 เป็น 51.1 ล้านบาท ในปี 2564 ก่อนพุ่งเป็น 129.7 ล้านบาท ในปี 2565 ทั้งที่รายได้จากการขายในปี 2563 และ 2564 จะทำได้ใกล้เคียงกันที่ 1,072 ล้านบาท เพราะสินค้าบางรายการได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย รายได้ในปี 2565 เพิ่มขึ้นมาเป็น 1,238 ล้านบาท

นอกเหนือจากเป้าหมายทางการเงิน บริษัทฯ ยังมีพันธกิจที่จะต้องรับผิดชอบในการสร้างเสริมสุขภาพที่ดีให้กับประชาชนทุกภาคส่วน รวมถึงช่วยดูแลความมั่นคงทางยาของประเทศควบคู่กันไปด้วย