3446 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. บ้านปู (BANPU) และ บมจ. บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ประกาศเข้าซื้อกิจการ บริษัท CXA Temple 2 Holding ซึ่งเป็นเจ้าของโรงฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple II ที่ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา และจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้ว ขนาดกำลังการผลิต 755 เมกะวัตต์ (MW) ผ่านบริษัท Temple Generation Intermediate Holdings ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BKV-BPP Power ที่เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง BANPU และ BPP โดยถือหุ้นฝ่ายละ 50% ด้วยเงินลงทุนรวม 460 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.6 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้แต่ละบริษัทสามารถเพิ่มกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนได้ราว 377.5 MW พร้อมกับรับรู้รายได้ในไตรมาส 3 ได้ทันที
สำหรับแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการซื้อกิจการ จะมาจากเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน ซึ่งหากพิจารณาฐานะการเงินของ BANPU และ BPP งวดไตรมาสแรกปีนี้ ทั้ง 2 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้ต่อทุน (D/E) ที่ 1.84 เท่า และ 0.47 เท่า ตามลำดับ ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า จะไม่มีปัญหาด้านเงินลงทุน
การลงทุนครั้งนี้ยังเป็นการต่อยอดการลงทุนโรงไฟฟ้า Temple I ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ขนาดกำลังการผลิต 768 MW ช่วงก่อนหน้านี้ให้กับทั้ง 2 บริษัทฯ เพราะสามารถบริหารจัดการโรงไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุดเกิดการประหยัดต่อขนาด เพิ่มโอกาสสร้างกําไรให้มากขึ้น ทั้งในตลาดซื้อขายไฟฟ้า ERCOT (Electric Reliability Council of Texas) ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ผู้นำของตลาดซื้อขายไฟฟ้าที่มีอัตราการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในสหรัฐฯ และการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าครัวเรือน (Power Retail) ประมาณ 750,000 ครัวเรือนทั่วรัฐเท็กซัสตอนกลางได้ด้วย พร้อมกับผลักดันให้ทั้ง 2 บริษัทมีโอกาสเติบโตอย่างโดดเด่นในตลาดสหรัฐฯ จากการที่ Temple II เป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยี Combined Cycle Gas Turbines (CCGT) ที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการควบคุมการปล่อยมลสาร ถือเป็นหนึ่งในผู้นำโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ ทำให้อยู่ในลำดับการเรียกจ่ายไฟฟ้า (merit order) ที่ดี ซึ่งสอดรับกับสภาพตลาดและการแข่งขันในตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรีของ ERCOT
นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้พอร์ตธุรกิจโรงไฟฟ้าของทั้ง 2 บริษัท มีสมดุลมากขึ้น ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน (Thermal Power Business) และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Power Business) อีกทั้งเพิ่มโอกาสในการขยายกำลังผลิตไฟฟ้าของ BPP และ BANPU ให้บรรลุเป้าหมาย 5,300 MW และ 6,100 MW ภายในปี 2568 มีความเป็นไปได้สูงขึ้น
ในมุมมองของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่ตีความการลงทุนครั้งนี้ ว่า มีมุมมองเชิงบวกในระยะยาว เพราะธุรกรรมนี้มูลค่ าไม่แพง และมี valuation ใกล้เคียงกับตอนซื้อโรงไฟฟ้า Temple I แต่กับภาพระยะสั้น ยังมีการมองต่างมุมอยู่
หยวนต้า (YUANTA) บอกว่า จากการพูดคุยกับผู้บริหารทั้ง 2 บริษัท ได้รับทราบข้อมูลเบื้องต้นว่า ผลดำเนินงานในอดีตของโรงไฟฟ้า Temple II ช่วงปี 2562–2564 มีรายได้ 100–338 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ผลกระทบจากสถานการณ์โควิดที่กดดันให้ราคาก๊าซธรรมชาติปรับลดลงต่ำกว่าราคาขั้นต่ำในสัญญาซื้อล่วงหน้า ฉุดให้ปี 2562-63 มีผลขาดทุนสุทธิ 3–29 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อนจะขาดทุนสุทธิเพิ่มเป็น 436 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2564 จากผลกระทบของเหตุการณ์พายุหิมะ ทำให้ต้องหยุดการดำเนินงานชั่วคราว เกิดค่าใช้จ่ายพิเศษมากถึง 539 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ปัจจุบัน Temple II สามารถทำกำไรได้แล้ว
จากการประเมินเบื้องต้น อ้างอิงจากผลดำเนินงานโรงไฟฟ้า Temple I ที่อยู่ข้างกัน และขนาดใกล้เคียงกัน ซึ่งมีกำไรสุทธิปีละ 600–800 ล้านบาท คาดโรงไฟฟ้า Temple II จะช่วยหนุนผลดำเนินงานปีนี้ของ BANPU ให้ดีขึ้นได้เล็กน้อย เพราะคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป แต่จะส่งผลบวกชัดเจนปีหน้า จากการรับรู้รายได้เต็มปีราว 500-700 ล้านบาท โดยหากอิง PER ระดับ 8-10 เท่า จะทำให้หุ้นมี Upside เพิ่ม 0.50–0.70 บาท
สำหรับ BPP เบื้องต้นคาดโครงการดังกล่าวจะสร้างกำไรให้ BPP ได้ปีหนึ่งๆ 300–400 ล้านบาท คิดเป็น Upside ต่อราคาหุ้นราว 0.80-1.00 บาท ไม่คิดรวม Synergy ที่จะเกิดขึ้นระหว่างโรงไฟฟ้า Temple I และ Temple II
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้ทยอยซื้อสะสมช่วงที่ราคาหุ้น BANPU อ่อนตัวจากงบไตรมาส 2 ทำจุดต่ำสุดในรอบปี เพื่อคาดหวังการฟื้นตัวในไตรมาส 4 ช่วง Restocking ก่อนเข้าฤดูหนาวของยุโรป จึงแนะนำ เก็งกำไร และคงราคาเหมาะสมที่ 10 บาท เหมือนเดิม
ขณะที่ BPP การที่ราคาหุ้นแกว่งใกล้เคียงราคาเหมาะสมที่ 15.30 บาท ทำให้ upside มีค่อนข้างจำกัด จึงแนะนำ เก็งกำไร เช่นเดียวกัน
ส่วนเอเซียพลัส (ASPS) ยอมรับว่า มองเห็นผลประโยชน์ในระยะยาว แต่เบื้องต้นจะยังไม่นำเอาโครงการ Temple II ไว้ในประมาณการของ BANPU และ BPP เพราะยังไม่มีข้อมูลที่ละเอียดมากพอ ต้องรอการชี้แจงจากทางบริษัทฯ เพิ่มเติม จึงคงประมาณการกำไร และมูลค่าพื้นฐานตามเดิม โดยคงราคาเหมาะสมของ BPP ที่ 17.50 บาท เพราะคาดผลตอบแทนจะทยอยปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ส่วน BANPU คงราคาเหมาะสมที่ 9.20 บาท จากการที่ผลดำเนินงานถูกกระทบจากราคาถ่านหินที่ปรับฐานแรงในครึ่งปีแรก กดดันให้รายได้และกำไรลดลงจากปีก่อนอย่างมีนัยยะ